
CRC เปิดเกมรุก! ทุ่มงบ 4.7 หมื่นล้าน ขยายธุรกิจ “ไทย-เวียดนาม” ดันอิบิทด้าโตปีละ 5%
CRC ประกาศยุทธศาสตร์เติบโต 3 ปี ทุ่มลงทุนกว่า 47,000 ล้าน ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ และ EBITDA ต่อปีประมาณ 5% พร้อมเดินหน้า Net Zero สร้างพลัง Synergy กลุ่ม Central ผสานแฟชั่น-วัสดุ-ฟู้ด-ดิจิทัล ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ผู้บริโภค
นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในฐานะผู้นำองค์กรคนใหม่ว่า บริษัทได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตในช่วงปี 2568-2570 โดยตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ และกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ต่อปีประมาณ 5%
พร้อมวางงบลงทุนรวมระหว่าง 45,000–47,000 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจหลัก ขยายสาขา และสร้างระบบนิเวศที่ครบวงจรทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม โดยใช้เงินลงทุนจากกระแสเงินสดภายในและเงินกู้ธนาคารบางส่วน โดยปัจจุบันอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ประมาณ 1.0–1.1 และคาดว่าจะรักษาระดับนี้ไว้ได้ในระยะ 3 ปีข้างหน้า
ขณะที่ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียง 1.5% บริษัทยอมรับถึงความท้าทายจากกำลังซื้อที่อ่อนแรง และภาระหนี้ครัวเรือนที่สูง แต่บริษัทจะใช้กลยุทธ์การกระตุ้นกำลังซื้อผ่านการจัดโปรโมชั่น สินค้าราคาเข้าถึงได้ และการขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่ม “Mainstream” ให้ครอบคลุมมากขึ้น พร้อมยืนยันว่าจะตอบสนองความต้องการผู้บริโภคทุกกลุ่ม ทั้ง Luxury, Premium และ Value Segment ให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ส่วนประเด็นด้านความไม่แน่นอนจากสงครามและต้นทุนสินค้า มองว่าเป็นผลกระทบระยะสั้น โดยทั้งภาครัฐและเอกชนต้องร่วมกันดูแลเศรษฐกิจ ขณะที่ CRC จะเดินหน้ารักษาเสถียรภาพผ่านแผนการบริหารต้นทุนและเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม
นายสุทธิสาร กล่าวอีกว่า CRC จะยังไม่มีแผนลงทุนในยุโรปหรืออินโดนีเซียในช่วง 3 ปีข้างหน้า รวมถึงยังไม่ขยายแบรนด์ Robinson หรือ Department Store เข้าไปในเวียดนาม โดยมองว่าตลาดยังไม่พร้อมรับโมเดลดังกล่าว อย่างไรก็ตาม CRC ยังคงโฟกัสการขยาย Go! Hypermarket ซึ่งเป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จ พร้อมติดตามพฤติกรรมผู้บริโภคเวียดนามที่เริ่มมีแนวโน้มคล้ายไทยมากขึ้น
ทั้งนี้ CRC จะไม่เพียงเติบโตจากมิติทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืน โดยมีแผนพัฒนาองค์กรสู่ Net Zero โดยในปีที่ผ่านมา CRC ได้ติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาอาคาร 160 แห่ง คิดเป็นกำลังไฟฟ้ากว่า 167,000 เมกะวัตต์ และลดการใช้พลังงานได้ถึง 16% ใช้รถบรรทุกพลังงานสะอาด (EV) กว่า 76 คัน เทียบเท่ากับรถกระบะกว่า 500 คัน และสามารถแปรรูปขยะกว่า 9,200 ตันให้เป็นผลิตภัณฑ์หมุนเวียนได้ถึง 19% พร้อมสร้างรายได้กว่า 814 ล้านบาทให้แก่ชุมชนโดยตรง
ส่วนในแง่กลยุทธ์ นายสุทธิสารย้ำว่า CRC จะสานต่อโมเดลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เช่น “ไทยวัสดุ” ที่เติบโตจากศูนย์สู่ 87 สาขาทั่วประเทศ ภายในเวลา 15 ปี โดยนำหลักคิดจากธุรกิจ DIY มาประยุกต์สู่ธุรกิจแฟชั่นและฟู้ดรีเทล พร้อมสร้าง Synergy กับธุรกิจในเครือ เช่น การแบ่งปันพลังงานผ่านโซลาร์รูฟ การแชร์โลจิสติกส์ และการใช้พื้นที่เชิงพาณิชย์ร่วมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนและขยายการเข้าถึงลูกค้า
อย่างไรก็ตาม CRC ยังมองว่าธุรกิจค้าปลีกในไทยยังมีโอกาสเติบโต โดยเฉพาะในหมวดอาหาร กีฬา แฟชั่น และสุขภาพ ที่เป็น “ปัจจัยพื้นฐานใหม่” ของประชาชน
สำหรับปัจจัยเสี่ยงหลักที่ต้องจับตาในครึ่งปีหลัง ได้แก่ สงคราม ภัยพิบัติธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว และการแพร่ระบาดของโรค ซึ่งผู้บริหารย้ำว่าในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ไม่เคยคาดคิดว่าจะเผชิญกับโควิดหรือสงคราม และมองว่าหากรับมือกับทั้งสองเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ ก็พร้อมเผชิญกับสิ่งอื่นที่อาจเกิดขึ้น
ด้านผลกระทบจากความขัดแย้งในตะวันออกกลางมองว่าไม่น่าจะมีผลกระทบรุนแรงในระยะยาว โดยบริษัทมีการบริหารจัดการความเสี่ยงและควบคุมต้นทุนอย่างใกล้ชิด รวมถึงมีระบบสต๊อกสินค้าระยะยาวที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนหรือราคาผันผวน