
คนนินทา..หมาดูถูก
หากมองสถานการณ์ของตลาดหุ้นวันต่อวัน โดยใช้ยอดซื้อขายของ “กองทุน “ กับ “ต่างชาติ” เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญจะเห็นว่า กองทุนยังเล่นในลักษณะ “ชงเอง..กินเอง”
หากมองสถานการณ์ของตลาดหุ้นวันต่อวัน โดยใช้ยอดซื้อขายของ “กองทุน “ กับ “ต่างชาติ” เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญจะเห็นว่า กองทุนยังเล่นในลักษณะ “ชงเอง..กินเอง” ส่วนต่างชาติยังเล่นแบบ “ขายบน..ซื้อล่าง” ซึ่งทำให้ภาพของตลาดหุ้นไทยมีลักษณะเหมือนกับ M-Shape และเรื่องนี้ดูได้จากต้นเดือน เม.ย. ลงมาทำโลว์ที่ 1,050 จุด ขณะที่กลางเดือน พ.ค. ขึ้นไปทำไฮที่ระดับ 1,130 จุด และล่าสุดพยายามขึ้นมายืนเหนือ 1,100 จุดนะจ๊ะ
เหล่านี้เป็นภาพการเคลื่อนตัวที่เด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ และถ้าเชื่อในสมมติฐานที่เกริ่นให้ฟังในตอนต้น ก็หมายความว่า ดัชนียังมีโอกาสถีบตัวขึ้นไปอีกนิดหนึ่ง (ช่วงนี้เล่นเรื่องวินโดว์เดรสซิ่ง) ต่อจากนั้นอาจเป็นช่วงที่ดัชนีทิ้งตัวลงอีกครั้ง “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักเล่นประเมินการยืนปิดที่ระดับ 1,107.69 จุด บวกไป 7.68 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.26 หมื่นล้านบาท เหมาะต่อการสวมวิญญาณเป็นชาวไล่ขนาดไหนเจ้าคะ
ส่วนเรื่องสงคราม และเรื่องขัดแย้งที่ปะทุขึ้นมาเป็นรอบ ๆ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่เกิดจากจอมเสี้ยมอย่างประเทศอเมริกาไปจุ้นจ้านกับประเทศอื่นมากเกินไป ส่งผลให้สถานการณ์หลายอย่างเละเทะเกินบรรยาย ส่วนปัญหาพิพาทของ “ไทย” กับ “เขมร” ก็มีแค่คนทั่วไปส่งเสียงเชียร์ให้เปิดชื่อนักการเมืองที่ไปใช้บริการฟอกเงิน แต่เชื่อเถอะว่า ฮุนเซนที่เป็นผู้นำจิตวิญญาณไม่กล้าเปิดไพ่ใบนี้ และทำได้แค่เห่าไปวัน ๆ เพื่อเรียกคะแนนนิยม..อิอิอิ
ในขณะเดียวกันจะเห็นว่า นักการเมืองไทยต่างอยู่ในภาวะหุบปากเงียบ พร้อมกับส่งเสียง แบะ..แบะ..เบะ กันเป็นแถว ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลอย่าง “รวมไทยสร้างปัญหา” ก็ออกมาจวกแทงกันเองอย่างหนักหน่วง ซึ่งทำให้คนทั่วไปสะอิดสะเอียนการเมืองไทยมากขึ้น ผนวกกับมีเรื่องใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.50 แสนล้านบาทไปกับเรื่องน้ำเป็นส่วนใหญ่แบบนี้..กระตุ้นได้จริงเหรอ? เพราะคนในแวดวงการเมืองรู้ได้ทันทีว่า นี่คือการเปิดหัวจ่ายให้กับหัวคะแนนนะซี
ทั้งหมดเหล่านี้เป็นภาพที่ทำให้ “โมนิก้า” รู้สึกไม่สบายใจเหลือเกิน เพราะคนในวงการตลาดหุ้นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ขืนลากกันไปเรื่อย ๆ ก็มีแต่ทรุดกับทรุด แถมนโยบายที่เข็นออกมาก็ไม่เห็นจะช่วยให้ธุรกิจขนาดกลางเล็กมีความคล่องตัวกว่าเดิม จึงสงสัยว่า เราจะไปต่ออย่างไร? และเรื่องทั้งหมดก็ได้รับคำเฉลยจากปากของ “จักรภพ” ที่ออกมาพูดแทนนายใหญ่อย่างฉะฉานว่า หากประกาศยุบสภาในตอนนี้ เพื่อไทยแพ้อย่างแน่นอน..พวกหญ้าหวานเจ็บจี๊ดไหมคะ
เม้าท์ถึงเรื่องเจ็บกระดองใจขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” ขอหันไปดูสถานการณ์ของหุ้น KTC หลังมีกองทุนเข้ามาช่วยอุ้มหุ้น ก็ทำให้ทุกอย่างพลิกจากหลังเท้าเป็นหน้ามือ หุ้นถึงขึ้นมาปิดที่ระดับ 26.50 บาท บวกไป 1.50 บาท หรือขึ้นไป 6% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.50 หมื่นล้านบาท แต่ในส่วนของหุ้นบันเทิงเริงรำอย่าง BEC กลับโดนกระทำชำเราอย่างหนักตลอดทั้งวัน จนหุ้นทรุดตัวลงมาปิดที่ระดับ 1.83 บาท ลบไป 0.79 บาท หรือลงไป 30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.23 พันล้านบาท ถือเป็นการส่งท้ายที่เจ็บปวดสำหรับแมงเม่า เพราะหุ้นที่เอาไปตึ๊งมีมากถึง 320 ล้านหุ้น และหุ้นที่ถูกถล่มขายวานนี้ ดันมียอดหุ้นที่เทรดสูงถึง 650 ล้านหุ้นเจ้าค่ะ
ตบท้ายกันที่ควันหลงของหุ้น KAMART เพื่อให้เข้ากับเรื่องตึ๊งหุ้นสักหน่อย เพราะรายนี้มีหุ้นที่เอาไปวางประมาณ 83 ล้านหุ้น ซึ่งคิดเป็น 6.47% ของหุ้นทั้งหมดแบบนี้ มันก่อให้เกิดข้อสงสัยตามมาว่า การประกาศซื้อหุ้นคืนโดยไม่ผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ก่อนหน้านี้ (แจ้งผ่านกลุ่มไลน์เฉยเลย) อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับความกังวลว่า หุ้นจะโดนฟอร์ซเซล? จึงต้องออกมาแก้เกมก่อนจะเกิดปัญหาอะป่าว?..แมงลือเขาเม้าท์กันอย่างนี้จ้า!
โมนิก้าและทีมงาน