
WTI บวก 0.43% ฟื้นตัวหลังสัปดาห์นี้ร่วงหนัก 12%
ราคาน้ำมัน WTI ปิดบวกเล็กน้อยหลังเผชิญแรงเทขายหนักทั้งสัปดาห์จากแผนเพิ่มกำลังผลิตโอเปกพลัส ขณะที่นักลงทุนลดความกังวลสงครามตะวันออกกลาง หันกลับมาจับตาปัจจัยพื้นฐาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน 2568 โดยฟื้นตัวขึ้น 28 เซนต์ หรือ 0.43% ปิดที่ระดับ 65.52 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากร่วงลงไปในแดนลบระหว่างวัน ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับแผนของกลุ่มโอเปกพลัสในการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอีก 411,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนสิงหาคม ซึ่งสอดคล้องกับแผนที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้สำหรับเดือนกรกฎาคม
ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) ส่งมอบเดือนสิงหาคม ปรับขึ้นเพียง 4 เซนต์ หรือ 0.06% ปิดที่ 67.77 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ ราคาน้ำมันร่วงลงรวมประมาณ 12% ในรอบสัปดาห์ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566
นักวิเคราะห์เปิดเผยว่า รายงานการเพิ่มกำลังผลิตจากโอเปกพลัสส่งผลให้ราคาน้ำมันดิ่งลงทันที อีกทั้งราคายังได้รับแรงกดดันจากการคลี่คลายของสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง โดยก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเหนือระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลจากความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน แต่ภายหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศการหยุดยิงระหว่างสองฝ่าย ราคาน้ำมันได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
โดยตลาดเริ่มลดการให้ความสำคัญกับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และกลับมาให้น้ำหนักกับปัจจัยพื้นฐาน โดยเฉพาะแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันในช่วงถัดไปซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้น รวมถึงรายงานสต๊อกน้ำมันที่ลดลงในหลายฉบับที่ส่งสัญญาณอุปสงค์แข็งแกร่ง
ข้อมูลจากรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อวันพุธเผยว่า ปริมาณน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงปรับลดลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา จากการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมการกลั่นและความต้องการใช้พลังงาน ขณะที่จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นดัชนีล่วงหน้าของการผลิตในอนาคต ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน โดยล่าสุดอยู่ที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564
ทั้งนี้ รายงานจากบริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์ส (Baker Hughes) ระบุว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันลดลง 6 แท่น เหลือ 432 แท่นในสัปดาห์นี้ ซึ่งสะท้อนถึงแรงกดดันด้านอุปทานที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้