เปิดสาเหตุ “แอร์อินเดีย 171“ โหม่งโลก พบ ”ปุ่มตัดน้ำมัน“ ทำงาน! เครื่องยนต์วูบกลางอากาศ

กล่องดำโบอิ้ง 787 ระบุสาเหตุโศกนาฏกรรม “แอร์อินเดีย 171“ โหม่งโลกพบสวิตช์ควบคุมเชื้อเพลิงทำงานผิดปกติ ทำเครื่องยนต์ดับกลางอากาศ คร่าชีวิตผู้โดยสารยกลำ


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (12 ก.ค.68) จากกรณีเครื่องบินของสายการบินแอร์อินเดีย ประสบอุบัติเหตุหลังบินขึ้นจาก ท่าอากาศยานเมืองอาห์เมดาบัด เมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 260 ราย ซึ่งรวมถึงผู้โดยสารและลูกเรือ อย่างไรก็ตามจากเหตุการณ์ดังกล่าวมีผู้รอดชีวิตเพียงรายเดียวเท่านั้น

เบื้องต้น สำนักข่าว CNN รายงานว่า สาเหตุเครื่องบินตกครั้งนี้เกิดจากการที่น้ำมันเชื้อเพลิงที่จ่ายเข้าสู่เครื่องยนต์ถูกตัดออก ทำให้เครื่องยนต์ขัดข้องและเกิดอุบัติเหตุดังกล่าวขึ้น อีกทั้ง CNN ระบุโดยอ้างอิงผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยว่า พัฒนาการของปุ่มสวิตช์นี้ในช่วงเวลาปลายปีที่ผ่านมาได้รับการออกแบบให้ไม่สามารถเลื่อนโดยบังเอิญได้ และไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เลื่อนโดยอัตโนมัติเช่นกัน

ส่วน ราคาหุ้นของบริษัทโบอิ้งปรับตัวลดลง 4.8% ในวันที่ 12 มิถุนายน จากระดับ 214 ดอลลาร์ เหลือ 203.75 ดอลลาร์ ก่อนจะลดลงต่อเนื่องในอีกสองวันทำการถัดมา มาอยู่ที่ 197.68 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นเริ่มฟื้นตัวในช่วงปลายเดือน และ ณ วันที่ 11 กรกฎาคม ปิดการซื้อขายที่ระดับ 226.84 ดอลลาร์

ขณะที่ล่าสุดรายงานจาก สำนักงานสอบสวนอุบัติเหตุอินเดีย ระบุว่า สวิตช์ควบคุมเชื้อเพลิงในห้องนักบินของเครื่องบินโบอิ้ง 787 ดรีมไลเนอร์ ถูกสับ ทำให้เครื่องยนต์ขาดเชื้อเพลิงและเกิดอุบัติเหตุขึ้น

เจ้าหน้าที่สืบสวนสามารถดึงข้อมูลจากเครื่องบันทึก “กล่องดำ” ของเครื่องบินได้ ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลการบินย้อนหลัง 49 ชั่วโมง และเสียงในห้องนักบินย้อนหลัง 2 ชั่วโมง รวมถึงเสียงเหตุการณ์ในช่วงที่เครื่องบินตกด้วย

ตามรายงานกล่าวว่า เมื่อเครื่องบินทำความเร็วถึง 180 น็อต สวิตช์ตัดน้ำมันเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ทั้งสองถูกเปลี่ยนจากตำแหน่ง Run ไปยังตำแหน่ง CUTOFF ทีละเครื่อง โดยทิ้งช่วงห่างกันเพียง 1 วินาที

จากการบันทึกเสียงในห้องนักบินนั้น นักบินคนหนึ่งถามอีกคนว่า “ทำไมถึงตัดสัญญาณ” ขณะที่นักบินอีกคนตอบว่า “ไม่ได้ทำ” หลังจากนั้นไม่นาน สวิตช์จึงถูกปรับกลับไปยังตำแหน่งที่ถูกต้อง และเครื่องยนต์เริ่มจ่ายไฟอีกครั้ง ก่อนที่อุบัติเหตุจะเกิดขึ้นในเวลาต่อมา

สำหรับเครื่องบินโบอิ้ง 787 Dreamliner นั้น สวิตช์ควบคุมเชื้อเพลิงจะตั้งอยู่ระหว่างที่นั่งนักบินทั้ง 2 คน บริเวณด้านหลังคันเร่งเครื่องยนต์ โดยรอบสวิตช์จะมีก้านโลหะป้องกัน และมีกลไกล็อกที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการตัดน้ำมันเชื้อเพลิงโดยไม่ได้ตั้งใจ

ส่วนภาพจากสนามบินแสดงให้เห็น Ram Air Turbine ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสำรองของเครื่องบิน ถูกใช้งานในระหว่างการไต่ระดับขึ้นของเครื่องบินหลังจากขึ้นบิน เครื่องบินเริ่มลดระดับความสูงลงก่อนที่จะข้ามกำแพงรอบสนามบิน

“เมื่อสวิตช์ควบคุมเชื้อเพลิงถูกเปลี่ยนจากตำแหน่งตัดไฟไปยังตำแหน่งทำงาน (RUN) ขณะที่เครื่องบินกำลังบินอยู่ เครื่องยนต์แต่ละตัวจะจัดการลำดับการจุดระเบิด (ignition) และการกู้คืนแรงขับโดยอัตโนมัติสำหรับการจุดระเบิดและการเติมเชื้อเพลิง”

โดยไม่กี่วินาทีหลังจากที่เครื่องยนต์พยายามจุดระเบิดอีกครั้ง นักบินคนหนึ่งก็ตะโกนว่า “เมย์เดย์ เมย์เดย์ เมย์เดย์” เจ้าหน้าที่ควบคุมได้เรียกสัญญาณเรียกขานของเครื่องบิน แต่ไม่ได้รับการตอบสนองใด ๆ

เดวิด ซูซี นักวิเคราะห์ด้านความปลอดภัย กล่าวว่า สวิตช์เชื้อเพลิงถูกออกแบบมาให้ขยับโดยตั้งใจเท่านั้น หมายความว่า กรณีที่สวิตช์เชื้อเพลิงทั้งหมดถูกปิดโดยไม่ได้ตั้งใจนั้นเกิดขึ้นได้ยากมาก

“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สวิตช์เหล่านี้ได้รับการปรับปรุงเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่ถูกขยับโดยไม่ได้ตั้งใจ และไม่ใช่สวิตช์แบบอัตโนมัติ สวิตช์เหล่านี้จะไม่ขยับเองไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม” เดวิด กล่าว

ขณะที่ ประวัติของกัปตันของเที่ยวบินนี้ เป็นชายวัย 56 ปี มีชั่วโมงบินมากกว่า 15,000 ชั่วโมง ส่วนนักบินคนแรกเป็นชายวัย 32 ปี มีชั่วโมงบินมากกว่า 3,400 ชั่วโม

เจ้าหน้าที่สอบสวนยังระบุด้วยว่า การตั้งค่าอุปกรณ์ที่พบในซากเครื่องบินนั้นปกติสำหรับการบินขึ้น น้ำมันเชื้อเพลิงของเครื่องบินได้รับการทดสอบและพบว่ามีคุณภาพเป็นที่น่าพอใจ และไม่พบกิจกรรมของนกอย่างมีนัยสำคัญในบริเวณใกล้เคียงกับเส้นทางการบิน ตามรายงาน

ส่วนน้ำหนักบรรทุกขณะบินขึ้นของเครื่องบิน อยู่ในเกณฑ์ที่อนุญาต และไม่มี “สินค้าอันตราย” บนเครื่องบิน เจ้าหน้าที่สอบสวนพบว่าแฟลปที่ปีกเครื่องบินถูกตั้งไว้ที่ 5 องศา ซึ่งเหมาะสมสำหรับการบินขึ้น และคันโยกล้อลงจอดอยู่ในตำแหน่งต่ำ

อีกทั้งรายงานระบุว่า เครื่องยนต์ด้านซ้ายติดตั้งบนเครื่องบินเมื่อวันที่ 26 มีนาคม และเครื่องยนต์ด้านขวาติดตั้งเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ทั้งนี้ ตามการรายงานข่าว ระบุว่า อุบัติเหตุดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตรวม 260 ราย โดยผู้เสียชีวิตบนพื้นดินจำนวนหนึ่ง

Back to top button