
หุ้นที่ฝรั่งซื้อ
วันศุกร์ที่ 25 ก.ค. 68 นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 267 ล้านบาท ถือเป็นการขายวันแรกหลังจากซื้อสุทธิต่อเนื่องมา 7 วันติดต่อกัน (16-24 ก.ค.) รวมกว่า 1.29 หมื่นล้านบาท
วันศุกร์ที่ 25 ก.ค. 68 นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 267 ล้านบาท
ถือเป็นการขายวันแรกหลังจากซื้อสุทธิต่อเนื่องมา 7 วันติดต่อกัน (16-24 ก.ค.) รวมกว่า 1.29 หมื่นล้านบาท
แต่หากนับจากต้นเดือนก.ค. 68 มาจนถึงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 1.25 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากดูจากตัวเลขที่นับจากต้นก.ค.และในช่วง 7-8 วันก่อนหน้า
ต่างชาติจะระดมซื้อในช่วง 7-8 วันที่ผ่านมาเป็นหลัก
ทว่า หากนับจากต้นปี 2568 ถึงเมื่้อวันศุกร์ 25 ก.ค.นักลงทุนต่างชาติยังขายหุ้นไทยอยู่กว่า 6.62 หมื่นล้านบาท
สาเหตุที่ต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นไทยในช่วงเวลาดังกล่าว
มีการตั้งเหตุผลไว้ เช่น
- หุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นเป้าหมายลงมาต่ำกว่าพื้นฐานค่อนข้างมาก
- ภาพรวมหุ้นไทยมีระดับ P/E Ratio ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ทำให้มีความน่าลงทุน
- ต่างชาติต้องการ “พักเงิน” หลังจากหุ้นสหรัฐฯ เริ่มเกิดความเสี่ยงที่จะชะลอตัว
- เกิดการ Cover Short หุ้นที่มีการทำชอร์ตเซลไว้ (เช่น บมจ.กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ (GULF)
- คาดการณ์เชิงบวกกับอัตราภาษีการค้าที่ประเทศไทยจะได้รับจากสหรัฐฯ (คาดระหว่าง 18-25%) หลังจากสหรัฐฯ ตกลงได้กับหลายประเทศ
และอาจจะมีเหตุผลอื่น ๆ หรือทุกเหตุผลที่รวมกันมาทั้งหมด เพราะมีหลายหุ้นขนาดใหญ่ที่ไม่ได้ถูกชอร์ตเซลมากนัก แต่วิ่งขึ้นมาด้วย เช่น บมจ.ไทยออยล์ (TOP)
ส่วนหุ้นที่ต่างชาติให้น้ำหนักต่อการเข้าซื้อในช่วง 7-8 วันก่อนหน้า เช่น
บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) ประมาณ 4 พันล้านบาท
บมจ.ซีพีออลล์ (CPALL) ประมาณ 2 พันล้านบาท
บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) 1,250 ล้านบาท
บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ประมาณ 750 ล้านบาท
บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ประมาณ 800 ล้านบาท
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ประมาณ 700 ล้านบาท
การเข้าซื้อของต่างชาติในหุ้นเหล่านี้ มีส่วนในการดันดัชนีหุ้นไทยขึ้นมาได้กว่า 100 จุด และกลับมายืนเหนือ 1,200 จุดอีกครั้ง (ในช่วง 6 วันที่ผ่านมาปิดเหนือ 1,200 จุด 5 วัน และปิดต่ำกว่า 1,200 จุด 1 วัน)
แล้วสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ล่ะ?
น่าจะขึ้นอยู่กับนักลงทุนต่างชาติว่ายังซื้อสุทธิหุ้นไทยต่อไปหรือไม่
เพราะปัจจัยสัปดาห์นี้อาจจะมีข้อแตกต่างจากสัปดาห์ก่อน โดยเฉพาะในประเด็นที่ “ทรัมป์” บอกว่า จะตกลงเรื่องภาษีการค้ากับไทย (รวมกัมพูชา) ได้ต่อเมื่อ “หยุดยิง”
ในด้านของนักวิเคราะห์เองบอกว่ายังให้ความเห็นอะไรมากไม่ได้
พราะยังต้องรอดูผลการหารือระหว่างไทย กัมพูชา ที่ประเทศมาเลเซียก่อน
แล้วยังต้องดูท่าทีของสหรัฐฯ ด้วย
แต่หากเป็นกรณีแย่สุด คือ สหรัฐฯ ยังคงยืนยันเก็บภาษีการค้ากับประเทศไทยที่ 36% (หากยังไม่หยุดยิง) ดัชนีอาจจะมีโอกาสลงไปต่ำกว่า 1,200 จุดอีกครั้ง แต่ไม่น่าหลุด 1,100 จุด
แต่ขึ้นอยู่กับว่า ต่างชาติที่กลับเข้ามาซื้อ จะชะลอการซื้อ ซื้อต่อ หรือขายปรับพอร์ตออกไปก่อน
เพราะก่อนหน้านี้เคยบอกไปแล้วว่า ต่างชาติไม่น่าจะซื้อยาว ซื้อแบบแรลลี่ เพราะเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวแบบล่าช้า จีดีพีปีนี้ อาจจะอยู่ระหว่าง 2.5-3.0% กรณีดีลเรื่องภาษีได้
ส่วนหากดีลไม่ได้ น่าจะลงมาอยู่ประมาณ 2% บวก/ลบ
ส่วนหุ้นที่ฝรั่งซื้อไปแล้ว
อาจต้องระวังเรื่องขายทำกำไร