TU โชว์กำไร Q2 โต 4% แตะ 1.27 พันล้าน เคาะปันผล 0.35 บาท XD 15 ส.ค.นี้

TU รายงานกำไรไตรมาส 2 โต 4% แตะ 1.27 พันล้านบาท หนุนงวด 6 เดือนมีกำไร 2.29 พันล้านบาท เคาะปันผล 0.35 บาท ขึ้นเครื่องหมาย XD 15 ส.ค.68 และกำหนดจ่าย 1 ก.ย.68


บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 และงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 มีกำไรสุทธิ ดังนี้

โดยในไตรมาส 2 ปี 2568 บริษัทฯ รายงานยอดขายรวมอยู่ที่ 33,389 ล้านบาท ลดลง 5.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากผลกระทบด้านลบของอัตราแลกเปลี่ยนคิดเป็น 4.7% และการลดลงของยอดขายจากการดำเนินงานปกติอีก 0.7% ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากยอดขายของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งที่ชะลอตัว เนื่องจากความต้องการซื้อในตลาดสหรัฐอเมริกาลดลง อย่างไรก็ตาม ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป ธุรกิจอาหารสัตว์ และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ยังคงสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

ขณะที่กำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้อยู่ที่ 6,567 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่มาจากธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปซึ่งได้รับประโยชน์จากโครงสร้างผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 19.7% จาก 18.5% ในปีก่อน และสูงกว่าเป้าหมายทั้งปีของบริษัทฯ

ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 4,658 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9% จากปีก่อน สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้าง (transformation costs) และค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น โดยมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายอยู่ที่ 13.9% เพิ่มจาก 13.0% หากไม่รวม transformation costs อัตราส่วนดังกล่าวจะอยู่ที่ 13.3%

ส่วนกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 68 ล้านบาท พลิกกลับจากขาดทุน 237 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

รายได้อื่นอยู่ที่ 177 ล้านบาท ลดลง 30.9% โดยหลักมาจากรายได้ดอกเบี้ยพิเศษที่สูงผิดปกติในไตรมาส 2 ปี 2567 จากบริษัทไอเทล ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าอยู่ที่ 158 ล้านบาท ลดลงจาก 179 ล้านบาท ขณะที่ต้นทุนทางการเงินอยู่ที่ 586 ล้านบาท ลดลงจาก 620 ล้านบาท สะท้อนผลของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงทั่วโลก

ด้านค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้อยู่ที่ 209 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 44 ล้านบาทในปีก่อน ส่งผลให้กำไรสุทธิตามที่ปรับปรุง (ไม่รวม transformation costs) อยู่ที่ 1,506 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.2% จากปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิตามที่ประกาศอยู่ที่ 1,273 ล้านบาท

ขณะที่ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทฯ รายงานผลการดำเนินงานที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยยอดขายลดลง 7.8% และกำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อย 0.8% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 19.3% อย่างไรก็ ตาม ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 6.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วนใหญ่เป็นผลจาก transformation costs และ ค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เพิ่มขึ้น ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าเพิ่มขึ้น 32.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่ มาจาก Avanti Group ต้นทุนทางการเงินลดลง 7.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทฯ มีเครดิตภาษีเงินได้อยู่ที่ 213 ล้านบาท เทียบกับค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 173 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเครดิตภาษีเงินได้นี้ ส่วนใหญ่ เป็นผลจากการกลับรายการหนี้สินภาษีเงินได้รอตัดบัญชีที่ไม่ใช่เงินสดครั้งเดียวสำหรับการปรับโครงสร้างของเงินลงทุนใน Avanti ใน ไตรมาส 1 ปี 2568 โดยรวม กำไรสุทธิตามที่ปรับปรุง (ไม่รวม transformation costs) อยู่ที่ 2,823 ล้านบาท เติบโตอย่างแข็งแกร่ง 11.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่กำไรสุทธิตามที่ประกาศลดลง 3.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

อย่างไรก็ตาม บริษัทเตรียมปันผลจากงวดดำเนินงานวันที่ 01 ม.ค. 2568 ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2568 และกำไรสะสม เป็นเงินสด 0.35 บาทต่อหุ้น กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 15 ส.ค.68 และกำหนดจ่ายปันผล 1 ก.ย.68

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจโลก และการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โปรเจกต์ทรานส์ฟอร์มเมชั่นของเรากำลังแสดงผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม เราได้ปรับเปลี่ยนองค์กรให้มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การมุ่งเน้นเสริมศักยภาพให้กับธุรกิจหลักของเรา ช่วยสร้างการเติบโตของอัตรากำไรขั้นต้นได้อย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับอนาคตที่คาดเดาได้ยาก

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาสสอง พบว่ายอดขายขยายตัวลดลง 0.7 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อน จากผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยน 4.7 เปอร์เซ็นต์ และการชะลอตัวของยอดขายผลิตภัณฑ์แช่แข็งในสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ยอดขายในกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป อาหารสัตว์ และกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง นั้นยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป มียอดขายรวม 16,597 ล้านบาท และปริมาณการขายยังคงทรงตัว อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้น 22 เปอร์เซ็นต์ จากราคาวัตถุดิบปลาที่ลดลง และความสำเร็จจากแคมเปญส่งเสริมการตลาดของแบรนด์ต่าง ๆ ของบริษัท

ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่แข็ง มียอดขายรวม 10,034 ล้านบาท สืบเนื่องจากความต้องการกุ้งในตลาดสหรัฐฯ ที่ลดลง อย่างไรก็ดี กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์ยังคงสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ในระดับที่น่าพอใจที่ 11.7 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง มียอดขายรวม 4,387 ล้านบาท โดยปริมาณการขายเติบโต 10 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อน จากความต้องการของลูกค้ารายสำคัญในสหรัฐฯ อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับที่ดีที่ 25.6 เปอร์เซ็นต์ และกลุ่มผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า มียอดขายรวม 2,371 ล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้นยังคงความแข็งแกร่งที่ 26.3 เปอร์เซ็นต์ จากอัตรากำไรที่สูงขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและผลิตภัณฑ์ที่มาจากการสร้างมูลค่าเพิ่มให้วัตถุดิบเหลือใช้จากการผลิต

ส่วนกรณีที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตรา 19 เปอร์เซ็นต์ สำหรับสินค้าที่จัดส่งหลังวันที่ 7 สิงหาคม บริษัทได้เตรียมมาตรการรับมือภาษีดังกล่าว โดยมุ่งใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการผลิตที่กระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งครอบคลุมฐานการผลิตใน 14 ประเทศ รวมทั้งสหรัฐอเมริกา เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของห่วงโซ่การผลิต และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการทางภาษี ซึ่งโรงงานของไทยยูเนี่ยนในประเทศไทย กานา และเซเชลส์ นั้นได้รับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐฯ 19, 15 และ 10 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ทำให้มีความ สามารถในการแข่งขันที่ทัดเทียมหรือเหนือกว่าผู้ส่งออกรายใหญ่อื่น ๆ เช่น อินโดนีเซีย (19 เปอร์เซ็นต์) และ เวียดนาม (20 เปอร์เซ็นต์)

ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทฯ ยังได้ดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืนเป็นครั้งที่ 4 เสร็จสมบูรณ์ โดยซื้อคืนหุ้นคิดเป็น 8.98 เปอร์เซ็นต์ของทุนชำระแล้ว สะท้อนเจตนารมณ์ของบริษัทในการสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว

นอกจากนี้ สองผู้นำอุตสาหกรรมอาหารระดับโลก TU และ มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ได้มีการเข้าลงนามในสัญญาความร่วมมือทางธุรกิจ ซึ่งเป็นการต่อยอดความร่วมมือที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2534 เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม ความยั่งยืน และความเป็นเลิศในระดับโลก ภายใต้สัญญาความร่วมมือดังกล่าว มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่นจะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน TU จาก 6.19 เปอร์เซ็นต์ เป็น 20 เปอร์เซ็นต์ (ไม่นับรวมหุ้นซื้อคืน) ผ่านการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั่วไป

นายธีรพงศ์ กล่าวว่า “การจับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระหว่างไทยยูเนี่ยนและมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ตั้งอยู่บนรากฐานของความไว้วางใจที่สั่งสมมายาวนานหลายทศวรรษ สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางธุรกิจและวิสัยทัศน์ร่วมกันของทั้งสองบริษัท ในการขับเคลื่อนอนาคตของอุตสาหกรรมอาหารทะเลของโลก เราจะร่วมกันเร่งสร้างการเติบโต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพและยั่งยืนให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลก เราเชื่อว่าความร่วมมือครั้งนี้จะสามารถสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย และตอกย้ำสถานะของไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมอาหารทะเล”

ทั้งนี้ การจับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของไทยยูเนี่ยน โดย
มิตซูบิชิยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่สี่ มีตัวแทนนั่งในคณะกรรมการบริษัทตามเดิม และไม่มีผลต่อโครงสร้างทีมผู้บริหารระดับสูงของไทยยูเนี่ยน

สำหรับการประสานความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยขับเคลื่อนใน 3 ปัจจัยหลัก คือ

  1. การคว้าโอกาสในการสร้างการเติบโตจากความต้องการอาหารทะเลและโซลูชันด้านโภชนาการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก การผสานจุดแข็งของไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้ผลิตอาหารทะเลแปรรูประดับโลก เข้ากับเครือข่ายการจัดหาและกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งของมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงวัตถุดิบในต้นทุนที่แข่งขันได้ และเสริมความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน
  2. สร้างการเติบโตอย่างเป็นรูปธรรมในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่ตลาดมีความต้องการสูง รวมทั้งการต่อยอดธุรกิจที่มีศักยภาพสูง เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งล้วนสอดคล้องกับเทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

3. ร่วมกันผลักดันเป้าหมายด้านความยั่งยืน ด้วยการประสานกลยุทธ์ SeaChange® 2030 ของไทยยูเนี่ยน เข้ากับมาตรฐานด้านความยั่งยืนระดับโลกของมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น เพื่อขับเคลื่อนความสำเร็จร่วมกัน ทั้งในด้านการจัดหาวัตถุดิบอย่างมีความรับผิดชอบ สวัสดิภาพแรงงาน และการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อผู้คนและโลก

Back to top button