TU เด้ง 5% รับกำไร Q2 แตะ 1.27 พันลบ. พ่วงปันผล 0.35 บ.- พันธมิตร “มิตซูบิชิ” หนุนอนาคต

TU เด้ง 5% หลังโชว์กำไรไตรมาส 2 โต 4.43% แตะ 1.27 พันล้านบาท พร้อมจ่ายปันผล 0.35 บาทต่อหุ้น ด้านมิตซูบิชิฯ เดินหน้าซื้อหุ้นเพิ่มสู่ 20% ตอกย้ำพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ เสริมศักยภาพธุรกิจอาหารทะเล-สัตว์เลี้ยงทั่วโลก หนุนผลงานเติบโตต่อเนื่อง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (5 ส.ค. 68) ราคาหุ้น บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)  หรือ TU ณ เวลา 10:18 น. อยู่ที่ระดับ 12.10 บาท บวก 0.60 บาท หรือ 5.22% สูงสุดที่ระดับ 12.10 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 11.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 88.41 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,272.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.43% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,218.61 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม บริษัทเตรียมปันผลจากงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 2568 ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2568 และกำไรสะสม เป็นเงินสด 0.35 บาทต่อหุ้น กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 15 ส.ค.68 และกำหนดจ่ายปันผล 1 ก.ย.68

ด้านนายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจโลก และการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โปรเจกต์ทรานส์ฟอร์มเมชั่นของเรากำลังแสดงผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม เราได้ปรับเปลี่ยนองค์กรให้มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การมุ่งเน้นเสริมศักยภาพให้กับธุรกิจหลักของเรา ช่วยสร้างการเติบโตของอัตรากำไรขั้นต้นได้อย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับอนาคตที่คาดเดาได้ยาก

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาสสอง พบว่ายอดขายขยายตัวลดลง 0.7 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อน จากผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยน 4.7 เปอร์เซ็นต์ และการชะลอตัวของยอดขายผลิตภัณฑ์แช่แข็งในสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ยอดขายในกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป อาหารสัตว์ และกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง นั้นยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป มียอดขายรวม 16,597 ล้านบาท และปริมาณการขายยังคงทรงตัว อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้น 22 เปอร์เซ็นต์ จากราคาวัตถุดิบปลาที่ลดลง และความสำเร็จจากแคมเปญส่งเสริมการตลาดของแบรนด์ต่าง ๆ ของบริษัท

ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่แข็ง มียอดขายรวม 10,034 ล้านบาท สืบเนื่องจากความต้องการกุ้งในตลาดสหรัฐฯ ที่ลดลง อย่างไรก็ดี กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์ยังคงสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ในระดับที่น่าพอใจที่ 11.7 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง มียอดขายรวม 4,387 ล้านบาท โดยปริมาณการขายเติบโต 10 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อน จากความต้องการของลูกค้ารายสำคัญในสหรัฐฯ อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับที่ดีที่ 25.6 เปอร์เซ็นต์ และกลุ่มผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า มียอดขายรวม 2,371 ล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้นยังคงความแข็งแกร่งที่ 26.3 เปอร์เซ็นต์ จากอัตรากำไรที่สูงขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและผลิตภัณฑ์ที่มาจากการสร้างมูลค่าเพิ่มให้วัตถุดิบเหลือใช้จากการผลิต

ส่วนกรณีที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตรา 19 เปอร์เซ็นต์ สำหรับสินค้าที่จัดส่งหลังวันที่ 7 สิงหาคม บริษัทได้เตรียมมาตรการรับมือภาษีดังกล่าว โดยมุ่งใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการผลิตที่กระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งครอบคลุมฐานการผลิตใน 14 ประเทศ รวมทั้งสหรัฐอเมริกา เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของห่วงโซ่การผลิต และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการทางภาษี ซึ่งโรงงานของไทยยูเนี่ยนในประเทศไทย กานา และเซเชลส์ นั้นได้รับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐฯ 19, 15 และ 10 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ทำให้มีความ สามารถในการแข่งขันที่ทัดเทียมหรือเหนือกว่าผู้ส่งออกรายใหญ่อื่น ๆ เช่น อินโดนีเซีย (19 เปอร์เซ็นต์) และ เวียดนาม (20 เปอร์เซ็นต์)

ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทฯ ยังได้ดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืนเป็นครั้งที่ 4 เสร็จสมบูรณ์ โดยซื้อคืนหุ้นคิดเป็น 8.98 เปอร์เซ็นต์ของทุนชำระแล้ว สะท้อนเจตนารมณ์ของบริษัทในการสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว

นอกจากนี้ สองผู้นำอุตสาหกรรมอาหารระดับโลก TU และ มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ได้มีการเข้าลงนามในสัญญาความร่วมมือทางธุรกิจ ซึ่งเป็นการต่อยอดความร่วมมือที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2534 เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม ความยั่งยืน และความเป็นเลิศในระดับโลก ภายใต้สัญญาความร่วมมือดังกล่าว มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่นจะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน TU จาก 6.19 เปอร์เซ็นต์ เป็น 20 เปอร์เซ็นต์ (ไม่นับรวมหุ้นซื้อคืน) ผ่านการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั่วไป

นายธีรพงศ์ กล่าวว่า “การจับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระหว่างไทยยูเนี่ยนและมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ตั้งอยู่บนรากฐานของความไว้วางใจที่สั่งสมมายาวนานหลายทศวรรษ สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางธุรกิจและวิสัยทัศน์ร่วมกันของทั้งสองบริษัท ในการขับเคลื่อนอนาคตของอุตสาหกรรมอาหารทะเลของโลก เราจะร่วมกันเร่งสร้างการเติบโต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพและยั่งยืนให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลก เราเชื่อว่าความร่วมมือครั้งนี้จะสามารถสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย และตอกย้ำสถานะของไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมอาหารทะเล”

ทั้งนี้ การจับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของไทยยูเนี่ยน โดย
มิตซูบิชิยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่สี่ มีตัวแทนนั่งในคณะกรรมการบริษัทตามเดิม และไม่มีผลต่อโครงสร้างทีมผู้บริหารระดับสูงของไทยยูเนี่ยน

สำหรับการประสานความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยขับเคลื่อนใน 3 ปัจจัยหลัก คือ

  1. การคว้าโอกาสในการสร้างการเติบโตจากความต้องการอาหารทะเลและโซลูชันด้านโภชนาการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก การผสานจุดแข็งของไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้ผลิตอาหารทะเลแปรรูประดับโลก เข้ากับเครือข่ายการจัดหาและกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งของมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงวัตถุดิบในต้นทุนที่แข่งขันได้ และเสริมความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน
  2. สร้างการเติบโตอย่างเป็นรูปธรรมในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่ตลาดมีความต้องการสูง รวมทั้งการต่อยอดธุรกิจที่มีศักยภาพสูง เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งล้วนสอดคล้องกับเทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
  1. ร่วมกันผลักดันเป้าหมายด้านความยั่งยืน ด้วยการประสานกลยุทธ์ SeaChange® 2030 ของไทยยูเนี่ยน เข้ากับมาตรฐานด้านความยั่งยืนระดับโลกของมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น เพื่อขับเคลื่อนความสำเร็จร่วมกัน ทั้งในด้านการจัดหาวัตถุดิบอย่างมีความรับผิดชอบ สวัสดิภาพแรงงาน และการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อผู้คนและโลก

อย่างไรก็ตาม นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  TU กล่าวอีกว่า จากกรณีที่ มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ได้เข้ามาซื้อหุ้น TU เพิ่มอีก จำนวน 532,273,639 หุ้น หรือคิดเป็น 13.81% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้ว (ไม่นับรวมหุ้นซื้อคืน) ในราคาหุ้นละ 12.50 บาท หากดีลสำเร็จ จะส่งผลให้มิตซูบิชิฯ ถือหุ้นใน TU รวม 20% จากเดิม 6.19% ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2568

การร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ (strategic partnership) เพื่อทำธุรกิจร่วมกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น โดยมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ได้ถือหุ้นในไทยยูเนี่ยนมาตั้งแต่ปี 1991 เป็นระยะเวลากว่า 30 ปี ซึ่งในช่วงปลายปีที่ผ่านมา มิตซูบิชิได้แสดงเจตจำนงค์ในการยกระดับความร่วมมือจากการเป็นผู้ถือหุ้นที่รับเงินปันผล ไปสู่การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่สามารถรับรู้รายได้และกำไรของบริษัทได้โดยตรง เนื่องจากเห็นว่าเป็นโอกาสสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมอาหารทะเลให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระดับโลก

สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ จะทำให้มิตซูบิชิเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในไทยยูเนี่ยนจาก 6.2% เป็น 20% อย่างไรก็ตาม จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของไทยยูเนี่ยน โดยมิตซูบิชิยังคงเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่และมีตัวแทนในคณะกรรมการบริษัทตามเดิม รวมทั้งไม่มีผลต่อโครงสร้างทีมผู้บริหารระดับสูงของไทยยูเนี่ยน

ทั้งนี้ มิตซูบิชิอยู่ระหว่างการตรวจสอบรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการเป็นไปอย่างถูกต้องตามกระบวนการที่เกี่ยวข้อง มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น เป็นหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมอาหารทะเลระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรม รวมทั้งมีเครือข่ายการดำเนินธุรกิจทั่วโลก ผ่านบริษัทต่าง ๆ เช่น Toyo Reizo, Cermaq, Nosan และ Petline

โดยราคาหุ้นที่มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น เสนอในครั้งนี้อยู่ที่ 12.50 บาทต่อหุ้น ทางด้านไทยยูเนี่ยนขอยืนยันว่า บริษัทยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดเหมือนเดิม และนี่เป็นธุรกิจที่ไทยยูเนี่ยนสร้างมากว่า 50 ปี โดยผลการดำเนินงานยังคงดีอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่มีความชัดเจนทางภาษีและขีดความสามารถทางการแข่งขันที่เหนือกว่าประเทศคู่แข่งอื่น ๆ ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นการสร้างความมั่นใจในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน พร้อมกันนี้ยังช่วยเสริมสร้างฐานธุรกิจและอุตสาหกรรมอาหารให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

สำหรับการประสานความร่วมมือดังกล่าว สอดคล้องกับกลยุทธ์ Strategy 2030 ของไทยยูเนี่ยน โดยการขยายความร่วมมือกับมิตซูบิชิในครั้งนี้ จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจผ่าน 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ประการแรก คือ การคว้าโอกาสในการสร้างการเติบโตจากความต้องการอาหารทะเลและโซลูชันด้านโภชนาการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยการผสานจุดแข็งของไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้ผลิตอาหารทะเลแปรรูประดับโลก เข้ากับเครือข่ายการจัดหาและกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งของมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงวัตถุดิบด้วยต้นทุนที่แข่งขันได้ รวมถึงเสริมความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน

ประการที่สอง คือ การสร้างการเติบโตอย่างเป็นรูปธรรมในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่ตลาดมีความต้องการสูง รวมถึงการต่อยอดธุรกิจที่มีศักยภาพสูง เช่น ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งล้วนสอดคล้องกับเทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

และประการที่สาม คือ การร่วมกันผลักดันเป้าหมายด้านความยั่งยืน ผ่านการประสานกลยุทธ์ SeaChange® 2030 ของไทยยูเนี่ยน เข้ากับมาตรฐานด้านความยั่งยืนระดับโลกของมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น เพื่อขับเคลื่อนความสำเร็จร่วมกันทั้งในด้านการจัดหาวัตถุดิบอย่างรับผิดชอบ สวัสดิภาพแรงงาน และการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อประโยชน์ต่อผู้คนและโลก

Back to top button