AOT เด้ง 3% รับข่าวเก็บค่าฟี 30 แอร์ไลน์ ดันรายได้ SAT-1 เพิ่ม 300 ล้านบาทต่อปี

AOT เด้ง 3% รับข่าวเก็บค่าฟี 30 แอร์ไลน์ ดันรายได้ SAT-1 เพิ่ม 200-300 ล้านบาทต่อปี จับตา CAAT ไฟเขียวขึ้นค่า PSC บอร์ดเคาะผู้ชนะงานภาคพื้นรายที่ 3 ภายใน 20 ส.ค.นี้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (6 ส.ค.68) ราคาหุ้น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ณ เวลา 14:26 น. อยู่ที่ระดับ 40.75 บาท บวก 1.25 บาท หรือ 3.16% สูงสุดที่ระดับ 41.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 40.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 839.22 ล้านบาท

นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า เดือน ส.ค.นี้มี 3 เรื่องใหญ่ของบริษัทที่จะได้ข้อสรุป และนำไปสู่การเพิ่มรายได้ครั้งใหญ่ ได้แก่ 1) การเก็บค่าบริการระบบไฟฟ้า 400 Hz และระบบปรับอากาศ PC-AIR 2) การปรับขึ้นค่าบริการผู้โดยสารขาออก (PSC) 3) ประกาศรายชื่อผู้ชนะประมูลโครงการให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น การให้บริการผู้โดยสารภาคพื้นและกิจการอื่น ๆ (GSE) ที่เกี่ยวเนื่องท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของผู้ประกอบการรายที่ 3 วงเงิน 29,390.76 ล้านบาท และโครงการให้บริการคลังสินค้า (คาร์โก้) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ วงเงิน 37,914.56 ล้านบาท

โดยล่าสุดวันที่ 4 สิงหาคม 2568 สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ได้อนุมัติอัตราค่าบริการระบบไฟฟ้า 400 Hz และระบบปรับอากาศ PC-AIR ถือเป็นส่วนหนึ่งของงานบริการด้านอุปกรณ์บริการภาคพื้น และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการซ่อมบำรุง (GSE) สำหรับการให้บริการ ณ อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยการจัดเก็บค่าบริการระบบไฟฟ้า 400 Hz และระบบปรับอากาศ PC-AIR เดิมนั้นครอบคลุมพื้นที่การให้บริการภายในท่าอากาศยาน (Main Terminal Building) เท่านั้น แต่ยังไม่รวมพื้นที่อาคารใหม่ที่สร้างขึ้นภายหลังอย่าง SAT-1 เข้าไปด้วย

ทั้งนี้ตามสถิติมีสายการบินใช้บริการประมาณ 2,000 เที่ยวบินต่อเดือน ซึ่ง AOT คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเก็บค่าบริการดังกล่าวกว่า 300 ล้านบาทต่อปี และเพิ่มขึ้นเมื่อมีสายการบินมาใช้บริการมากขึ้น โดยมีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สำหรับเครื่องบินที่จอด ณ อาคาร SAT-1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลักตามขนาดของอากาศยาน ได้แก่ TYPE A, B, C และ D ซึ่งมีอัตราค่าบริการแตกต่างกันไปตามระยะเวลาใช้งาน (นาที)

โดยคิดอัตราค่าบริการ สำหรับ TYPE A เริ่มจากระยะเวลา 1-60 นาที อัตราต่ำสุด 3,300 บาท ระยะเวลามากสุด 286-300 นาที อัตราสูงสุด 16,500 บาท, TYPE B  ระยะเวลา 1-60 นาที อัตราต่ำสุด 4,600 บาท ระยะเวลา 286-300 นาที อัตราสูงสุด 23,000 บาท, TYPE C  ระยะเวลา 1-60 นาที อัตราต่ำสุด 6,300 บาท ระยะเวลา 286-300 นาที อัตราสูงสุด 31,500 บาท, TYPE D  ระยะเวลา 1-60 นาที อัตราต่ำสุด 12,600 บาท ระยะเวลา 286-300 นาที อัตราสูงสุด 63,000 บาท

ประเภทของเครื่องบินแต่ละ TYPE แบ่งเป็น 1) TYPE A ได้แก่ A319, A320, A321, B-707, B727, B737, B757, E190, DC8, DC9, IL62 2) TYPE B ได้แก่ A300, A310, B767, B787-8, L1011, L86 3) TYPE C ได้แก่ A330, A340, A350, B747, B777, B787-9, B787-10, DC10, MD11 4) TYPE D: A380

ทั้งนี้บริการดังกล่าวเป็นบริการที่สายการบินจำเป็นต้องรับบริการเมื่อจอดเทียบอาคาร จะเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการแก่สายการบิน และรองรับการเติบโตของการเดินทางทางอากาศ หลังจากที่ AOT ได้เริ่มให้บริการระบบดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2566 ปัจจุบันมีสายการบินใช้บริการที่ SAT-1 ประมาณ 30 สายการบินต่อเดือน อาทิ 1) Thai Airways  2) Emirates  3) Singapore Airlines 4) Lufthansa 5) Korean Air 6) Japan Airlines 7) EVA Air 8) China Airlines 9) Asiana Airlines 10) Turkish Airlines 11) Etihad Airways 12) Qatar Airways 13) Cathay Pacific 14) Air France 15) ANA-All Nippon Airways 16) Austrian Airlines 17) British Airways 18) Philippine Airlines เป็นต้น

นางสาวปวีณา กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดเก็บค่าบริการระบบไฟฟ้า 400 Hz และระบบปรับอากาศ PC-AIR ที่อาคาร SAT-1 เป็นอีกหนึ่งการเพิ่มรายได้ของ AOT สอดรับกับแนวโน้มการเติบโตของสายการบินที่เข้ามาใช้บริการที่ท่าอากาศยานที่เพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพด้านแหล่งรายได้ที่มีประสิทธิภาพ

สำหรับการให้บริการดังกล่าวยังเป็นบริการที่สนามบินชั้นนำทั่วโลกมีให้บริการ ลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดมลพิษทางอากาศและเสียงรบกวนจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขณะที่เครื่องบินเข้าจอด ณ หลุมจอดอากาศยานประจำเครื่องบิน ซึ่งเป็นสิ่งที่ AOT ตระหนักและให้ความสำคัญต่อการลดปัญหาที่จะเกิดกับสิ่งแวดล้อมและชุมชน อันจะนำไปสู่ประสิทธิภาพด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาวขององค์กร ไปจนถึงการเตรียมความพร้อมให้กับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในการเป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาคต่อไป

นางสาวปวีณา ระบุ ขณะนี้ AOT อยู่ระหว่างรอการพิจารณาอนุมัติปรับขึ้นค่าบริการผู้โดยสารขาออก (PSC) อีก 5 บาท จาก CAAT ภายในเดือนนี้ หากได้รับการอนุมัติ AOT ก็จะปรับขึ้นค่า PSC สำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศจากปัจจุบัน 730 บาทต่อคน เป็น 735 บาทต่อคน และค่า PSC สำหรับผู้โดยสารภายในประเทศจาก 130 บาทต่อคน เป็น 135 บาทต่อคน โดยคาดว่าจะเริ่มจัดเก็บค่า PSC อัตราใหม่ดังกล่าวได้ประมาณเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2569 ซึ่งจะส่งผลให้รายได้ของ AOT ปรับเพิ่มขึ้นอีก 200-300 ล้านบาทต่อปี

นอกจากนี้ AOT และ CAAT อยู่ระหว่างศึกษาอัตราการจัดเก็บค่า PSC เพื่อพิจารณาปรับขึ้นค่า PSC ครั้งใหญ่ เนื่องจากอัตราที่ AOT จัดเก็บปัจจุบันยังไม่สะท้อนต้นทุนการดำเนินงาน เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาท่าอากาศยาน และเป็นอัตราที่ต่ำกว่าท่าอากาศยานชั้นนำในภูมิภาคอย่างมาก เช่น ท่าอากาศยานชางงี ประเทศสิงคโปร์ ที่จัดเก็บค่า PSC ที่ 1,400-1,500 บาทต่อคน ดังนั้นหาก AOT ต้องการยกระดับเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค ก็จะต้องจัดเก็บค่า PSC ในระดับที่เหมาะสมกับรายได้ที่ควรได้รับ เพื่อความสามารถในการลงทุนพัฒนาสนามบินและการบริการต่าง ๆ

ทั้งนี้จากการคำนวณเพื่อปรับค่า PSC แต่ละท่าอากาศยานทั่วโลกมีการคำนวณหลายสูตร แต่มีมาตรฐานเดียวกันคืออิงจากหลักเกณฑ์การคำนวณขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ซึ่ง AOT ต้องนำมาศึกษาว่าวิธีการคำนวณแบบใดที่เหมาะสมกับประเทศไทย เพราะแต่ละพื้นที่จะมีความเหมาะสมแตกต่างกัน โดยในการปรับขึ้นค่า PSC นั้น จะเป็นการปรับขึ้นเท่ากันในท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT แม้แต่ละแห่งจะมีต้นทุนบริหารจัดการ และจำนวนผู้โดยสารที่ไม่เท่ากันก็ตาม เพราะการจัดเก็บในอัตราที่เท่ากันในทุกท่าอากาศยานของ AOT จะทำให้บริหารรายได้และค่าใช้จ่ายได้อย่างเป็นระบบและเท่าเทียมมากกว่า

สำหรับการปรับค่า PSC ครั้งใหญ่นี้ คาดว่าจะปรับขึ้นถึง 100 บาทขึ้นไป ซึ่งคาดว่าจะสรุปได้เดือนตุลาคม 2568 จากนั้น AOT จะเสนอมายัง CAAT เพื่อพิจารณา ซึ่ง CAAT ก็จะเชิญ AOT มาชี้แจงรายละเอียดผลการศึกษาและความจำเป็นต่าง ๆ รวมทั้งแผนการลงทุนพัฒนาท่าอากาศยาน เพื่อพิจารณาอัตราการปรับขึ้นค่า PSC ที่เหมาะสม ก่อนเสนอ CAAT พิจารณาตามขั้นตอน โดยในการปรับขึ้นค่า PSC ครั้งใหญ่นี้ หาก AOT ได้รับอนุมัติให้ปรับขึ้นถึง 100 บาทต่อคน ก็จะส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อปี

ขณะที่ล่าสุด พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร  ผู้อำนวยการ CAAT ยังระบุด้วยว่า พร้อมพิจารณาให้หาก AOT มีการเสนอขอจัดเก็บค่าบริการ Transit (การเดินทางที่มีการแวะพักแล้วทำการเดินทางต่อด้วยเที่ยวบินเดิม) และ Transfer (การเดินทางที่มีการแวะพัก มีการเปลี่ยนเครื่องบิน และเที่ยวบินเพื่อเดินทางต่อ) ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการจัดเก็บ โดย AOT ต้องมีการจัดทำรายละเอียดให้ชัดเจน ระบุเหตุผล วัตถุประสงค์การขอจัดเก็บ รวมทั้งเปรียบเทียบอัตราค่า Transit Transfer ในสนามบินระดับเดียวกันด้วยว่าอยู่ในอัตราเท่าใด เพื่อให้ CAAT มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ โดยปัจจุบัน AOT มีผู้โดยสาร Transit และ Transfer ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในสัดส่วน 5% ของผู้โดยสารระหว่างประเทศ

นางสาวปวีณา กล่าวว่า ความคืบหน้าการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน (PPP) โครงการให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น การให้บริการผู้โดยสารภาคพื้นและกิจการอื่น ๆ (GSE) ที่เกี่ยวเนื่องท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 3 วงเงิน 29,390.76 ล้านบาท และโครงการให้บริการคลังสินค้า (คาร์โก้) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 3 วงเงิน 37,914.56 ล้านบาทนั้น ขณะนี้คณะกรรมการตามมาตรา 35 แห่ง พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 อยู่ในขั้นตอนเจรจาผลประโยชน์ตอบแทนกับผู้เสนอราคา รวมทั้งนำส่งร่างสัญญาให้อัยการตรวจสอบควบคู่ไปด้วย

จากนั้นคณะกรรมการตามมาตรา 35ฯ จะสรุปผลการประกวดราคาเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ AOT วันที่ 20 สิงหาคมนี้ ก่อนจะเสนอไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา คาดว่าจะได้ลงนามในสัญญากับผู้รับงานภายในปี 2568

โดยคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 35 แห่ง พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 (พ.ร.บ.ร่วมทุน) ได้ทำการเปิดข้อเสนอซองที่ 1 (คุณสมบัติ) ทั้ง 2 โครงการของผู้ยื่นข้อเสนอแล้ว ปรากฏว่ามี 2 ราย ที่ผ่านข้อเสนอซองที่ 1 ทั้ง 2 โครงการ คือ บริษัท บริการภาคพื้น ท่าอากาศยานไทย จำกัด หรือ AOTGA กับบริษัท แบ็กส์บริการภาคพื้น จํากัด

ทั้งนี้ AOTGA เป็นบริษัทร่วมทุน โดย AOT ถือหุ้น 49% และ บริษัท เอเอสแอล กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ SAL (ซึ่งบริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY ถือหุ้นทางอ้อม) ถือหุ้น 51%

Back to top button