SICT โกยรายได้ Q2 เฉียด 200 ล้าน กำไรแตะ 32 ลบ. จ่อเปิด 4 สินค้าใหม่ครึ่งปีหลัง

SICT รายงานผลดำเนินการไตรมาส 2/68 รายได้รวม 197.23 ล้านบาท กำไรสุทธิ 32.08 ล้านบาท ครึงปีหลังเตรียมเปิดตัว 4 ผลิตภัณฑ์ใหม่ ลุยขยายพอร์ตในผลิตภัณฑ์กลุ่มระบบลงทะเบียนสัตว์ หนุนรายได้โตต่อเนื่อง


บริษัท ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SICT ผู้ออกแบบและจำหน่ายไมโครชิปอัจฉริยะสัญชาติไทย รายงานผลประกอบการสำหรับไตรมาส 2/2568 มีรายได้ 197.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 จากไตรมาสก่อนหน้า ขับเคลื่อนโดยไมโครชิปกลุ่ม IoT ในภาคอุตสาหกรรม (Industrial IoT) ที่เติบโตถึงร้อยละ 49 สะท้อนความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นจากเทรนด์ Industry 4.0 แม้ว่าเปรียบเทียบกับไตรมาส 2/2567 รายได้จะปรับตัวลดลงเล็กน้อยที่ร้อยละ 3 เนื่องจากผลกระทบของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งเมื่อพิจารณารายได้รวมเป็นสกุลเงินเหรียญสหรัฐกลับแสดงการเติบโตขึ้นถึงร้อยละ 7.0

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงบริหารจัดการโครงสร้างต้นทุนและปรับปรุงกลยุทธ์การกำหนดราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทสามารถเพิ่มระดับอัตรากำไรขั้นต้นขึ้นสู่ระดับที่แข็งแกร่งที่ร้อยละ 46 และมีกำไรสุทธิ 32.08 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 16

ไตรมาส 2/2568 รายได้จากไมโครชิปกลุ่มระบบลงทะเบียนสัตว์ (Animal Identification) มีจำนวน 132.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของฐานลูกค้าหลักในยุโรป สอดคล้องกับแนวโน้มการบังคับใช้ระบบระบุตัวตนอิเล็กทรอนิกส์ในปศุสัตว์ที่เพิ่มขึ้น รายได้จากไมโครชิปกลุ่ม IoT ในภาคอุตสาหกรรม (Industrial IoT) มีจำนวน 55.57 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อจากลูกค้าในเอเชีย

อย่างไรก็ตาม กลุ่มผลิตภัณฑ์นี้ยังคงมีศักยภาพการเติบโตที่น่าจับตามอง รายได้จากไมโครชิป กลุ่มระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ (Immobilizer) มีจำนวน 8.12 ล้านบาท ปรับตัวลดลงร้อยละ 41 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า จากการหดตัวต่อเนื่องของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ ULTX ยังคงเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่ขับเคลื่อนรายได้ในกลุ่มนี้ สำหรับไมโครชิปกลุ่ม NFC และอื่นๆ มีรายได้จำนวน 0.55 ล้านบาท

ในช่วงปลายไตรมาส 2/2568 บริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มระบบลงทะเบียนสัตว์ (Animal ID) ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเร็วกว่าที่บริษัทคาดการณ์ ทั้งนี้ ในครึ่งปีหลัง 2568 บริษัทเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 4 ผลิตภัณฑ์ โดยเน้นการขยายพอร์ตโฟลิโอในผลิตภัณฑ์กลุ่มระบบลงทะเบียนสัตว์ (Animal ID) และกลุ่ม IoT ในภาคอุตสาหกรรม (Industrial IoT) ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงและกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งเพิ่มการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี บริษัทเชื่อมั่นว่าการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ควบคู่กับการวิจัยพัฒนาอย่างต่อเนื่องจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของรายได้อย่างมีนัยสำคัญ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว

เกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าและภาษีตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา บริษัทได้ทำการศึกษาและติดตามผลกระทบอย่างใกล้ชิด โดย ณ ปัจจุบัน พบว่าสินค้าประเภทเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductors) ที่เป็น IC Components ได้รับการยกเว้นจากการเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติม ซึ่งผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทเข้าเงื่อนไขการยกเว้นตามที่ระบุในเอกสารทางการของสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงระมัดระวังและติดตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของนโยบายการค้าระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งพูดคุยกับลูกค้าที่มีการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินสถานการณ์และให้มั่นใจว่าจะสามารถปรับตัวและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ จากการประเมินความเสี่ยง ณ ปัจจุบัน บริษัทมีความเห็นว่าผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับบริษัทโดยตรงยังคงอยู่ในระดับต่ำ

บริษัทมุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่กับการสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย และรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ โดยเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา บริษัทได้รับมอบ ESG100 Certificate ประจำปี 2568 จากสถาบันไทยพัฒน์ ซึ่งได้รับเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันตั้งแต่บริษัทได้เข้ารับการประเมิน (2566 – 2568) โดยบริษัทได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน 100 หลักทรัพย์จดทะเบียน จาก 921 หลักทรัพย์จดทะเบียน และเป็นหนึ่งเดียวใน 24 หลักทรัพย์จดทะเบียน ในตลาด mai กลุ่มเทคโนโลยี ที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)

โดยความสำเร็จนี้ถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ยืนยันว่า SICT มุ่งมั่นที่จะผลักดันการเติบโตทางธุรกิจ คิดค้นนวัตกรรม ไปพร้อมกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม สร้างคุณค่าให้กับสังคม และรักษามาตรฐานธรรมาภิบาลที่เป็นเลิศ เพื่อสร้างความยั่งยืนร่วมกันในระยะยาว

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 บริษัทได้เข้าร่วมเสวนาในงาน Techsauce Global Summit 2025 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) โดยมี ดร.บดินทร์ เกษมเศรษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ร่วมแบ่งปันมุมมองและวิสัยทัศน์ภายใต้หัวข้อ “Decoding the Global Chip Economy: Who Will Lead the Semiconductor Race?” โดย ดร.บดินทร์ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์โลก และแนวทางที่แต่ละประเทศใช้เพื่อรักษาความมั่นคงทางเทคโนโลยี

รวมถึงผลกระทบจากการแข่งขันเชิงกลยุทธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ส่งผลต่อพลวัตตลาดโลก โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ตลอดจนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการขาดแคลนบุคลากรผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม และแนวทางในการดึงดูด พัฒนา และรักษาบุคลากร ทั้งนี้ การเข้าร่วมงานดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการมีส่วนร่วมกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนและแข่งขันได้ในเวทีโลก

Back to top button