
พาราสาวะถี
ท่ามกลางฝุ่นตลบต่อการ วิ่งขอ 143 เสียงของพรรคประชาชน ให้สนับสนุน ชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย และ อนุทิน ชาญวีรกูล จากภูมิใจไทย เพื่อให้ไปถึงฝั่งฝันเก้าอี้ผู้นำประเทศ
ท่ามกลางฝุ่นตลบต่อการ วิ่งขอ 143 เสียงของพรรคประชาชน ให้สนับสนุน ชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย และ อนุทิน ชาญวีรกูล จากภูมิใจไทย เพื่อให้ไปถึงฝั่งฝันเก้าอี้ผู้นำประเทศ หลัง แพทองธาร ชินวัตร ถูกสอยพ้นตำแหน่งจากมติ 6 ต่อ 3 เสียงของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้เห็นความมูมมามของนักเลือกตั้งที่อดอยากปากแห้ง ไม่ต้องมาอ้างเหตุผลสารพัดเพื่อเอาดีเข้าตัว รู้กันอยู่แล้วว่าเปลี่ยนขั้ว เปลี่ยนข้างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพรรคพวกล้วน ๆ
จนลืมไปว่าต้นตอที่ทำให้แพทองธารต้องกระเด็นตกเก้าอี้นั้น มาจากคลิปเสียงที่ไปคุยกับ ฮุน เซน เมื่อหลักฐานมันทนโท่ เท่ากับต้องจำนนกันไปครึ่งค่อนตัว เมื่อมีปมผิดจริยธรรมร้ายแรงที่ตีความขอบเขตได้กว้างขวางจึงเป็นการเอาคอไปวางบนเครื่องประหารรอวันถูกเชือดเท่านั้น เพียงแต่ตลอดเวลาของการต่อสู้ตามกระบวนการ ทักษิณ ชินวัตร ยังแอบหวังว่า อำนาจที่ทำให้ดีลลังกาวีเกิดรัฐบาลพลิกขั้ว จะสามารถลดทอนความโหดร้ายที่ลูกสาวจะได้รับลงได้บ้าง
ผลสะเทือนจากการหล่นจากเก้าอี้นายกฯ ของแพทองธารหนนี้ ตอกย้ำว่า “กลไกอำนาจนอกและเหนือรัฐธรรมนูญมีอิทธิพลเกินกว่าอำนาจอธิปไตยตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง” ภาพของการวิ่งเข้าหาเพื่อไปสวามิภักดิ์ แสดงตัวเปลี่ยนขั้ว ย้ายฝั่งอย่างปัจจุบันทันทีนั้น มันสะท้อนให้เห็นถึงความกระหายอยากที่แบ่งได้เป็น 2 จำพวกคือ พวกที่ต้องการมีตำแหน่งในฝ่ายบริหาร ถ้าพลาดจากหนนี้ไปแล้ว จะไม่มีโอกาสไหนที่จะมีพลังในการต่อรองเท่าครั้งนี้
อีกพวกคือ พวกดีลรับกล้วยตามข่าวก่อนที่จะมีการชี้ขาดคดีอุ๊งอิ๊งว่าเม็ดเงินสะพัดกันถึงระดับ 2 พันล้านบาท ลองคิดดูว่าแล้วพวกที่ยอมทรยศนายใหญ่ ตีจากพรรคแกนนำรัฐบาลปัจจุบันจะ ได้รับกันคนละกี่กิโลกรัม นี่คือความโสมมของนักเลือกตั้งปากมัน แต่จะอ้างหลักการสารพัดเพื่อทำให้ตัวเองดูดี กรณีของเสี่ยหนูและคนพรรคสีน้ำเงินที่รีบประกาศความต้องการเป็นนายกฯ และเร่งประสานขอเสียงสนับสนุนแบบไม่เก็บอาการนั้น มันไม่ได้แสดงออกถึงความหวังดีที่ต้องการจะแก้ปัญหาให้บ้านเมือง
ประเด็นนี้ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ชี้ได้เห็นภาพมากที่สุด อนุทินเพียงแค่ต้องการอำนาจ และ ใช้มนต์เป่าคดีที่อีนุงตุงนังให้หายไป ทั้งเรื่องเขากระโดง และฮั้วเลือก สว. เห็นกันอยู่ว่าทั้งสองเรื่องเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับตัวเสี่ยหนู กุนซือ ผู้บริหารและคนของพรรคที่ตัวเองกุมบังเหียนล้วน ๆ จะอ้างไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ทราบไม่ได้ เพราะบางเรื่องดีเอสไอ รวมทั้ง กกต.ได้แจ้งข้อกล่าวหากับหัวหน้าพรรค และคนของพรรคสีน้ำเงินด้วย
การฉวยจังหวะพลิกเกมตั้งรัฐบาลครั้งนี้ จึงเป็นเรื่องของการเมือง แก้ปัญหาของตัวเองและพวกพ้องล้วน ๆ คดีที่ว่ามาสำนวนคดีกองไว้เต็มโต๊ะของดีเอสไอ และกกต. ต้องถามไปยังพรรคประชาชนว่ามองข้ามประเด็นเหล่านี้ไปอย่างนั้นหรือ หากตัดสินใจจะยกมือโหวตให้อนุทินนั่งนายกฯ กับ 3 เงื่อนไขที่ยื่นให้แล้วอีกฝ่ายตอบรับ มีอะไรมาการันตีว่าจะไม่เกิดการหักหลังกันภายหลัง ที่บอกว่าต้องยุบสภาภายใน 4 เดือนหลังรัฐบาลแถลงนโยบาย มันจะเป็นไปได้หรือ
ตามภาษาที่ชูวิทย์ว่า อยู่แค่ 4 เดือนเอาอะไรไปคิด มีข้ออ้างสารพันที่จะต้องอยู่สะสางต่อ คนที่ได้อำนาจไปแล้วจะยุบสภาฯ ยังไง การเมืองของพรรคประชาชนเป็นการเมืองใหม่ ต่างจากลีลาของภูมิใจไทยลิบลับ ที่เห็นมาก็มีทั้งงูเห่า มีทั้งกล้วย มีทั้งพวกหักหลัง มีทั้งนอมินี ยิ่งเงื่อนไขให้ทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดูข้อแก้ตัวที่เขียนไว้ล่วงหน้าได้เลยว่า สุดท้ายก็อ้างว่าติดที่ สว. เพราะรัฐบาลไม่สามารถไปสั่งการได้ ทั้งที่ก็รู้กันอยู่แล้วว่า สว. ส่วนใหญ่เป็นคนของใคร
นาทีนี้ไม่ต้องมองไปถึงความเคลื่อนไหวในซีกของเพื่อไทยว่ายังจะเหนียวแน่น ดันชัยเกษมให้เป็นนายกฯ ได้สำเร็จ จริงอยู่ที่เกมการเมืองสามารถพลิกคว่ำพลิกหงายได้ตลอดเวลา แต่เห็นทรงแบบนี้รู้กันอยู่ว่าเป็นการเดินเกมกันแบบไหน และต้องทุ่มกันมหาศาลขนาดไหน จึงไม่ผิดหากจะบอกว่า ชะตากรรมของประเทศอยู่ที่การตัดสินใจของพรรคประชาชน จะร่วมพายเรือให้ไปทางไหน ซึ่งทั้งชูวิทย์ และบางซุ่มเสียงของคนพรรคสีส้มเองก็เตือนด้วยความเป็นห่วงไปในทิศทางเดียวกัน
ลีลาการเมืองของแท้ไม่มีอะไรใหม่ นอกจากไปตายเอาดาบหน้า เงื่อนไขอะไรก็รับกันหมด ไม่ว่าสีน้ำเงินหรือสีแดง เพราะอยากเป็นนายกฯ พึงระวังการพายเรือให้พวกเขี้ยวลากดินทั้งหลายนั่ง จะถูกแว้งกัดเมื่อพายเมื่อถึงฝั่ง มันไม่มีสัจจะในหมู่นักการเมือง ต่อให้ช่วยพายเรือให้โจรนั่ง ก็ไม่ได้ไปถึงฝั่งที่ปลอดภัยอยู่ดี สุดท้ายพรรคสีส้มอาจจะกลายเป็นเหยื่อของเกมนั้นเสียเอง ทางเดียวหากต้องการจะแก้ปัญหาคือ ยุบสภาล้างไพ่ใหม่ คืนอำนาจให้ประชาชน เมื่อสถานการณ์ไหลมาเข้าทางแล้ว พรรคประชาชนในฐานะผู้กุมชะตากรรม คงต้องใช้การคุมเกมให้เกิดประโยชน์ที่สุด สุดท้ายอาจไม่โหวตให้ฝ่ายไหนก็เป็นได้
อรชุน