ยินดีต้อนรับกลุ่ม NEP Watch (จบ)

นายเดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต กล่าวว่า แม้ทั่วโลกกำลังเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด แต่ประเทศไทยกลับ “ตกหลุมก๊าซ” โดยพึ่งพา LNG สูงขึ้นเรื่อย ๆ


นายเดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต กล่าวว่า แม้ทั่วโลกกำลังเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด แต่ประเทศไทยกลับ “ตกหลุมก๊าซ” โดยพึ่งพา LNG สูงขึ้นเรื่อย ๆ จาก 13% ในปี 2562 สู่ 31% ในปี 2566 ส่งผลให้ค่าไฟพุ่ง และกลายเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนใหม่ในภาคอุตสาหกรรม เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ ที่ต้องการไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด พร้อมเสนอว่าการพิจารณาแผน PDP ต้องปรับใหม่ ทั้งในด้านความคิด การบริหารจัดการ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยไม่เพียงเพิ่มพลังงานหมุนเวียน แต่ต้องมีธรรมาภิบาล การมีส่วนร่วมของสังคม

นอกจากนี้ ได้เสนอโมเดล “Mixed Integrated System” ที่ลดการผูกขาดจากโครงสร้างกิจการไฟฟ้าของประเทศไทย มีลักษณะเป็นโครงสร้างที่มีผู้ซื้อรายเดียว (Enhanced Single Buyer: ESB) โดยต้องเร่งแก้กฎหมาย และนำเสนอเป็นรูปธรรมผ่านพรรคการเมืองต่าง ๆ เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมให้มากที่สุด

“สิ่งหนึ่งที่เราไม่สามารถขยับตัวได้ เพราะเราไปวางโครงสร้างระบบไฟฟ้าที่มีผู้ซื้อรายเดียว เปลี่ยน กฟผ.จากผู้ผลิตให้กลายเป็นผู้ซื้อ จูงใจให้เอกชนเข้ามาผลิตไฟฟ้า จนเกิดภาวะการลงทุนล้นเกิน โยงมาเป็นปัญหาถึงปัจจุบัน ซึ่งทั่วโลกกำลังก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด แต่ไทยยังตกหลุมก๊าซอยู่ และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ค่าไฟแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว

นายภาคภูมิ โลหวริตานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์กฎหมายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่า โครงสร้างหน่วยงานด้านพลังงานของไทยมีความซับซ้อน มีคณะกรรมการหลายชุด ตั้งแต่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ไปจนถึงคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) การทำงานของคณะกรรมการแต่ละชุด อยู่ภายใต้รมว.พลังงาน ซึ่งมีอำนาจในการเสนอแผนพลังงาน แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) แนวทางการประกอบกิจการพลังงาน จนถึงการกำหนดอัตราค่าบริการพลังงาน

“โดยเฉพาะ กกพ.” ที่ควรเป็นองค์กรอิสระ กำกับดูแลการแข่งขัน และปกป้องสิทธิผู้ใช้ไฟ แต่ปัจจุบันยังต้องปฏิบัติภายใต้กรอบของรัฐมนตรี ทำให้ขาดความเป็นอิสระ และไม่สามารถตรวจสอบผลประโยชน์ทับซ้อนได้เต็มที่ จึงมีข้อเสนอให้แก้ไขกฎหมาย เริ่มที่ กกพ.ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลกิจการพลังงาน ต้องมีความเป็นอิสระ และปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ซึ่ง พ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงานฯ มีกำหนดไว้ชัดเจน แต่ยังไม่เห็นการปฏิบัติ จึงสนับสนุนให้มีการฟ้อง กกพ. เพื่อให้ทำหน้าที่ตามกฎหมาย

ทั้งนี้ ผู้ร่วมเสวนาในเวทีปฏิรูปพลังงาน เห็นตรงกันว่า ทางออกสำคัญคือการ “ปลดล็อก” อำนาจจากกลุ่มทุนและรัฐ ให้ประชาชน ภาคธุรกิจ และท้องถิ่นสามารถเข้ามาผลิตไฟฟ้าได้ ทั้งภาคประชาชน และเอกชน เห็นพ้องว่าแผนพลังงานชาติต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพื่อปลดล็อกศักยภาพประเทศสู่พลังงานสะอาดในราคาที่เป็นธรรม หากรัฐไม่เร่งขับเคลื่อน ปัญหาพลังงานแพง และความเหลื่อมล้ำจะยิ่งขยายวงกว้าง และไทยอาจ “ตกขบวนพลังงานโลก” อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ถึงแม้ว่าข้อเสนอของการตั้งกลุ่ม NEP Watch จะยังไม่เป็นรูปธรรม แต่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี  ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าปัญหาการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าปัจจุบันของประเทศไทยที่เป็นระบบ Single Pool นั้นล้าสมัยมากเพราะเป็นการเรียกเก็บค่าไฟทั่วประเทศเท่ากันหมดโดยไม่เลือกพื้นที่ ทำให้พื้นที่มีคนอยู่หนาแน่นจะได้เปรียบในการจ่ายค่าไฟที่ต่ำกว่าคนที่อยู่ในพื้นที่ที่มีประชากรเบาบาง ทั้งที่ควรจะเป็นระบบ Smart Grid System ตามที่กฟน.เคยเสนอไว้

วิษณุ โชลิตกุล

 

Back to top button