
โอกาสทอง “หุ้นไทย” รับฟันด์โฟลว์ไหลเข้า หลังวิกฤติการเมือง “อินโดนีเซีย” ฉุดตลาด
การเมืองอินโดนีเซียสั่นคลอน เงินทุนต่างชาติไหลออกสูงสุดในรอบ 5 เดือน ขณะที่ไทยได้แรงหนุนจากความชัดเจนทางการเมืองหลังจัดตั้งรัฐบาลใหม่ พร้อมเงินบาทแข็งค่า ดัชนี SET ทะยานสูงสุดในรอบ 7 เดือน กองทุนใหญ่แนะเพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นไทย
ผู้สื่อข่าวรายงาน อ้างอิงข้อมูลจาก “บลูมเบิร์ก” (Bloomberg) ระบุว่า ความปั่นป่วนทางการเมืองกำลังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภูมิทัศน์การเงินของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนักลงทุนเริ่มมองว่าสถานการณ์เลวร้ายที่สุดในประเทศไทยอาจผ่านพ้นไปแล้ว ขณะที่อินโดนีเซียยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น
นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นอินโดนีเซียออกไปกว่า 653 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นการเทขายมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา สาเหตุจากการประท้วงรุนแรงและการปลดรัฐมนตรีคลังอย่างกะทันหัน ขณะที่ตลาดหุ้นไทยซึ่งเผชิญแรงกดดันมานาน กลับเริ่มฟื้นตัวและมีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าว
บริษัทจัดการกองทุนต่างชาติ เช่น Aberdeen Investments, Gama Asset Management และ Valverde Investment Partners ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยโดดเด่นกว่าอินโดนีเซีย และการไหลออกของเงินทุนต่างชาติที่เคยยืดเยื้อมาก่อนหน้า กำลังชะลอตัวลงอย่างชัดเจน
ด้าน ซิน เหยา อึ้ง (Xin-Yao Ng) ผู้จัดการกองทุนจาก Aberdeen Investments กล่าวว่า ประเทศไทยถูกมองว่ากำลังฟื้นจากจุดต่ำสุด หลังการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ขณะที่อินโดนีเซียกลับเคลื่อนไปในทิศทางตรงกันข้าม จากแย่ไปสู่แย่กว่า พร้อมย้ำว่า ขณะนี้ได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในไทย และยังคงลดสัดส่วนการลงทุนในอินโดนีเซีย
บทวิเคราะห์ระบุว่า ความเชื่อมั่นในไทยเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง หลังนายอนุทิน ชาญวีรกูล เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยมีแนวคิดฟื้นโครงการ “คนละครึ่ง” เพื่อกระตุ้นการบริโภค
พร้อมกันนี้ ค่าเงินบาทในเดือนกันยายนแข็งค่าขึ้นราว 2% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ กลายเป็นสกุลเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในเอเชีย ขณะที่ดัชนี SET Index ขยับขึ้นกว่า 4% แตะระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือนนับตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2568 แรงขายหุ้นต่างชาติเริ่มชะลอ เหลือเพียง 21 ล้านดอลลาร์ จากที่เคยเทขายกว่า 670 ล้านดอลลาร์ในเดือนสิงหาคม
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมอร์แชนท์ พาร์ทเนอร์ส แอสเซท แมเนจเมนท์ คาดการณ์ว่า หากแรงหนุนยังต่อเนื่อง ดัชนี SET Index อาจปรับตัวขึ้นไปแตะที่ระดับ 1,340 จุด ภายในสิ้นปีนี้ ขณะเดียวกัน เงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นยังช่วยพยุงค่าเงินบาท
ด้าน จอห์น ฟู (John Foo) ผู้ก่อตั้ง Valverde Investment Partners กล่าวเสริมว่า ฐานะการคลังของไทยที่แข็งแกร่ง เปิดโอกาสให้รัฐบาลใหม่สามารถใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ พร้อมมองว่าหุ้นไทยมีมูลค่าที่น่าสนใจหลังผ่านการเทขายในช่วงที่ผ่านมา “นี่คือโอกาสที่จะเพิ่มน้ำหนักลงทุนในไทย ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองและเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว”
ขณะที่ประเทศไทยเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจน แต่อินโดนีเซียกลับเผชิญแรงกดดันทางการเมืองอย่างหนัก หลังประธานาธิบดีปราโบโว ซูบิอันโต ได้ปลดนางศรีมูลยานี อินทราวาตี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังผู้ได้รับการยอมรับในระดับสากล และแต่งตั้งนายปูร์บายา ยูดิ ซาเดวา ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน
เจสัน เดอวีโต ผู้จัดการพอร์ตตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่จาก Federated Hermes ระบุว่า อินโดนีเซียกำลังเผชิญ ช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น โดยการเปลี่ยนแปลงนี้สร้างความกังวลให้นักลงทุน เพราะศรีมูลยานี มีบทบาทสำคัญในการสร้างชื่อเสียงด้านวินัยการคลังให้กับประเทศ
โดยรัฐบาลอินโดนีเซียประกาศเตรียมอัดฉีดกว่า 200 ล้านล้านรูเปียห์ หรือราว 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้าสู่ระบบธนาคาร โดยใช้จากเงินสดสำรอง 400 ล้านล้านรูเปียห์ที่สะสมไว้ก่อนหน้า เพื่อกระตุ้นการปล่อยกู้และการเติบโต แต่ตลาดยังคงกังวลต่อทิศทางการคลัง โดยเฉพาะการดึงเงินสดสำรองมาใช้ควบคู่กับนโยบายประชานิยม เช่น โครงการอาหารกลางวันฟรีในโรงเรียน
จอห์น ฟู จาก Valverde มองว่า มาตรการดังกล่าวเป็นเพียงการบรรเทาเศรษฐกิจในระยะสั้นเท่านั้น และภาพรวมเศรษฐกิจอินโดนีเซียยังคงอ่อนแอ
แรงกดดันยังสะท้อนผ่านตลาดพันธบัตร โดยเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) ระหว่างพันธบัตรอายุ 2 ปี กับ 10 ปี ใกล้ระดับกว้างที่สุดในรอบกว่า 2 ปี ขณะที่ค่าเงินรูเปียห์อ่อนค่าลงต่อเนื่อง ปีนี้สูญเสียมูลค่าไปแล้วกว่า 1.5% เทียบดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นอันดับสองในเอเชียรองจากรูปีอินเดีย
แม้ปูร์บายาจะพยายามสร้างความเชื่อมั่น โดยประกาศพร้อมอัดฉีดเงินเพิ่มหากจำเป็น และร่วมมือกับธนาคารกลางผ่านกลไก burden sharing แต่จนถึงขณะนี้นักลงทุนต่างชาติยังไม่คลายกังวล
โดย ซิน เหยา อึ้ง จาก Aberdeen ชี้ว่า รัฐบาลอินโดนีเซียยังต้องพิสูจน์อีกมาก พร้อมย้ำว่า ตนได้เพิ่มน้ำหนักลงทุนในไทย โดยโยกเงินมาจากการขายทำกำไรในตลาดจีน เกาหลีใต้ และหุ้นเทคโนโลยีไต้หวัน