
“ดาวโจนส์” ปิดลบ 228 จุด แรงขายหุ้นเทคฉุด กังวลต้นทุน AI พุ่ง
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบทั้งสามดัชนีหลัก ดัชนีดาวโจนส์ร่วงกว่า 228 จุด จากแรงขายหุ้นเทคโนโลยี ท่ามกลางความกังวลว่าการลงทุนด้าน AI จะเพิ่มภาระหนี้และต้นทุน ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐเพื่อประเมินทิศทางดอกเบี้ยเฟด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อคืนวันพุธ (17 ธ.ค.68) ปิดการซื้อขายในแดนลบทั้งสามดัชนีหลัก จากแรงขายในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังนักลงทุนประเมินความเสี่ยงว่าการเร่งลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) อาจกดดันต้นทุนและสถานะทางการเงินของบริษัทจดทะเบียน
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (.DJI) ปิดที่ 47,885.97 จุด ลดลง 228.29 จุด หรือ -0.47%
- ดัชนี S&P 500 (.SPX) ปิดที่ 6,721.43 จุด ลดลง 78.83 จุด หรือ -1.16%
- ดัชนี Nasdaq Composite (.IXIC) ปิดที่ 22,32 จุด ลดลง 418.14 จุด หรือ -1.81%
แรงกดดันหลักมาจากหุ้น Oracle ซึ่งร่วงลง 5.4% หลัง Financial Times รายงานว่า Blue Owl Capital ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านศูนย์ข้อมูลรายสำคัญ กำลังทบทวนบทบาทการสนับสนุนเงินทุนในโครงการศูนย์ข้อมูลมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ของ Oracle จากความกังวลเกี่ยวกับระดับหนี้และการใช้จ่าย ส่งผลให้นักลงทุนประเมินความเสี่ยงด้านการเงินของธุรกิจ AI เพิ่มขึ้น
ความกังวลดังกล่าวฉุดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI ปรับตัวลงตามกัน โดยหุ้น Broadcom ลดลง 4.5% หุ้น Nvidia ลดลง 3.8% และหุ้น Advanced Micro Devices (AMD) ร่วงลง 5.3%
ด้านหุ้น Alphabet บริษัทแม่ของ Google ปรับตัวลง 3% หลังมีรายงานจากสื่อต่างประเทศว่า Google และ Meta Platforms กำลังพิจารณาความร่วมมือด้านโครงการ AI ใหม่ ซึ่งอาจเพิ่มการแข่งขันในอุตสาหกรรมและกระทบต่อผู้นำตลาดในปัจจุบัน
ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมัน หลังรัฐบาลสหรัฐส่งสัญญาณเข้มงวดมาตรการคว่ำบาตรด้านพลังงานต่อเวเนซุเอลา โดยหุ้น Exxon Mobil ปรับขึ้น 2.38% Chevron เพิ่มขึ้น 1.9% ConocoPhillips พุ่งขึ้น 4.6% และ Occidental Petroleum ทะยานขึ้น 4.4%
ตลาดยังได้แรงหนุนระหว่างวัน หลังนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ สมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ระบุว่า เฟดยังมีพื้นที่ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม หากตลาดแรงงานชะลอตัวลงมากกว่าคาด
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐในวันนี้ (18 ธ.ค.68) ตามเวลาท้องถิ่น เพื่อประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อและทิศทางนโยบายการเงินของเฟดในระยะถัดไป

