CGSI แนะซื้อ CBG เป้า 67.50 บาท ชี้ยอดขายไทย-เมียนมาโต

CGSI คาด CBG ได้แรงหนุนจากตลาดในประเทศและเมียนมาที่เติบโตแข็งแกร่ง แม้ยอดขายกัมพูชาหดตัวรุนแรง พร้อมเดินหน้ารุกตลาดจีนด้วยโมเดลใหม่ เสริมศักยภาพทำกำไร คงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 67.50 บาท


ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CGSI เปิดเผยว่า ยอดส่งออกสินค้าของ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ไปกัมพูชามีแนวโน้มอ่อนตัวมากกว่าที่คาด เนื่องจากการคว่ำบาตรสินค้าไทยที่รุนแรงขึ้น ทำให้คาดว่ายอดขายในไตรมาส 3 ปี 2568 จะลดลงถึง 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากเดิมที่คาดว่าจะลดลง 25% อย่างไรก็ตาม โรงงานในกัมพูชาที่จะเปิดดำเนินงานในไตรมาส 4 ปี 2568 จะช่วยลดต้นทุนขนส่งและภาษีนำเข้า ซึ่งน่าจะบรรเทาผลกระทบบางส่วนต่อผลกำไร

ขณะเดียวกัน ตลาดเมียนมายังคงมีความโดดเด่น แม้ปกติไตรมาส 3 จะมียอดขายลดลงราว 30-40% จากปัจจัยฤดูกาล แต่ในปีนี้คาดว่าจะหดตัวเพียง 10% หลังจาก CBG เปิดโรงงานใหม่ในเดือนกรกฎาคม 2568 และเพิ่มกิจกรรมทางการตลาด ทำให้ยอดขายทั้งปีในเมียนมาอาจเพิ่มขึ้นถึง 20% หรือแตะ 1.6 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 32% ของยอดขายต่างประเทศ ขณะเดียวกัน margin มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ปี 2569 จากประสิทธิภาพการผลิตที่สูงขึ้น

สำหรับตลาดในประเทศ ยอดขายคาดว่าจะเติบโต 12% หรือประมาณ 2 พันล้านบาท จากส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้นเป็น 26.1% ในเดือนกรกฎาคม 2568 เทียบกับ 24.9% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ CBG มีโอกาสทำยอดขายรวมได้ 1.0-1.1 พันล้านขวด สูงกว่าประมาณการเดิมที่ 950 ล้านขวด

นอกจากนี้ CBG เตรียมกลับมารุกตลาดจีนอีกครั้งภายในเดือนกันยายน 2568 ด้วยโมเดลธุรกิจใหม่ โดยใช้การขายหัวเชื้อ (concentrate) และการให้สิทธิการผลิต (licensing) แม้รายได้ช่วงแรกอาจยังไม่สูง แต่ด้วยอัตรากำไรที่มากและค่าธรรมเนียมจากการให้สิทธิ คาดว่าจะช่วยหนุนกำไรได้อย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งยังอยู่ระหว่างการศึกษาธุรกิจรูปแบบเดียวกันในตะวันออกกลาง

สำหรับโครงการ “คนละครึ่ง” ของรัฐบาล แม้จะช่วยกระตุ้นยอดขายในประเทศไม่มากนัก แต่สามารถดันอัตรากำไรขั้นต้นให้สูงขึ้นชั่วคราวจากการที่ยอดขายขยับไปยังร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมที่มี margin สูงกว่า

CGSI จึงปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ของ CBG ลง 1.1-1.3% ในปี 2568-2569 จากแรงกดดันยอดขายในกัมพูชา แต่ยังคงประมาณการกำไรปี 2570 พร้อมคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 67.50 บาท อ้างอิงวิธี DCF เนื่องจากมองว่าธุรกิจในประเทศยังเติบโตแข็งแกร่ง และศักยภาพทำกำไรในเมียนมาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่ต้องติดตามได้แก่ การคว่ำบาตรสินค้าไทยในกัมพูชาที่ยังรุนแรงต่อเนื่อง ความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบ และการแข่งขันที่ทวีความเข้มข้น ขณะที่ปัจจัยบวกจะมาจากส่วนแบ่งตลาดที่ขยายตัว ความเชื่อมั่นในกัมพูชาที่อาจดีขึ้น และความสำเร็จในการขยายตลาดจีนและตะวันออกกลาง

Back to top button