
KS แนะซื้อ PTTGC-TOP รับแผนแปลงสินทรัพย์เป็นรายได้ หนุนสภาพคล่อง-ลดหนี้
“บล.กสิกรไทย” คงมุมมองบวกต่อ PTTGC และ TOP หลังเดินหน้าแผนขายสินทรัพย์-เช่ากลับมาเป็นรายได้ เสริมสภาพคล่อง ลดอัตราหนี้ พร้อมคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน PTTGC ที่ 30.20 บาท และ TOP ที่ 39.50 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KS เปิดเผยบทวิเคราะห์กรณี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติการจำหน่ายสินทรัพย์สำคัญ ประกอบด้วย การขายหุ้นจำนวน 4.46 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 35.43% ในบริษัท ไทยแทงค์เทอร์มินัล จำกัด (TTTT) มูลค่ารวม 4,400 ล้านบาท และการจำหน่ายสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานบางส่วน
อาทิ ท่าเทียบเรือ คลังน้ำมัน ระบบขนถ่ายสินค้าและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง มูลค่ารวม 4,800 ล้านบาท พร้อมสัญญาเช่ากลับระยะสั้น โดยรวมแล้ว PTTGC จะได้รับเงินสด 9,200 ล้านบาท ซึ่งจะนำไปใช้ชำระหนี้และลดอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ลงราว 0.2 เท่า อีกทั้งยังคาดว่าจะรับรู้กำไรพิเศษ 2,300 ล้านบาทในไตรมาส 1/2569 โดยไม่กระทบต่อความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว
ทั้งนี้ PTTGC ยังมีเป้าหมายลดอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ให้ต่ำกว่า 5 เท่าในปี 2569 เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ จึงวางแผนจำหน่ายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักเพิ่มเติม เช่น หน่วยผลิตไฟฟ้า ประกอบกับได้รับเงินสดจากการขยายเวลาชำระค่าน้ำมันดิบและการออกหุ้นกู้ถาวรรวม 63,000 ล้านบาท คาดว่าจะเสริมสภาพคล่องให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งนี้ KS คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายกลางปี 2569 ที่ 30.20 บาท
ขณะเดียวกัน บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP รายงานว่า จะเข้าทำสัญญาปล่อยเช่าสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานระยะยาวมูลค่า 37,400 ล้านบาท และเช่ากลับเป็นเวลา 21 ปี กับบริษัทร่วมทุนที่ตั้งขึ้นใหม่ (TOP ถือหุ้น 51% และ PTT Tank ถือหุ้น 49%) โดยสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ถังเก็บน้ำมัน ท่อรับน้ำมันดิบกลางทะเล (SBM) สถานีขนถ่ายน้ำมัน และที่ดิน ซึ่งจะต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 9 ธันวาคม 2568 ธุรกรรมดังกล่าวจะสร้างกระแสเงินสดสุทธิ 18,200 ล้านบาท ลดอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA จาก 10.4 เท่า เหลือ 8.5 เท่า แม้กำไรสุทธิจะลดลงราว 630 ล้านบาทต่อปีจากค่าเช่า
โดยฝ่ายวิจัยประเมินว่าธุรกรรมดังกล่าวเป็นการกระจายแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำเพียง 3.3% ต่อปี ต่ำกว่าการกู้ยืมปัจจุบันหรือการออกหุ้นกู้รูปแบบอื่น พร้อมคงคำแนะนำ “ซื้อ” และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายกลางปี 2569 เป็น 39.50 บาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากค่าการกลั่น (GRM) ที่ฟื้นตัว และมูลค่าหุ้นเชิง PBV ที่ยังต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง