SGC วิ่งต่อ 3% มั่นใจ Q3 สดใส รับดีมานด์สินเชื่อ “ไอโฟน” พุ่ง ชูเป้า 1.54 บ.

SGC บวกต่อ 3% รับแรงหนุนดีมานด์สินเชื่อมือถือ ผ่านบริการล็อกโฟนพุ่ง พร้อมบริหารต้นทุนมีประสิทธิภาพ หนุนผลงานไตรมาส 3/68 เติบโตแกร่ง โบรกแนะซื้อราคาเป้าหมาย 1.54 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (26 ก.ย.68) ราคาหุ้น บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC ปรับตัวขึ้น ณ เวลา 10.25 น. อยู่ที่ระดับ 1.22 บาท บวก 0.04 บาท หรือ 3.39% สูงสุดที่ระดับ 1.22 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.18บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 70.46 ล้านบาท

โดยเป็นผลมาจาก ผู้บริหารคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 3/2568 ออกมาแข็งแกร่ง ปัจจัยหลักมาจากความต้องการสินเชื่อที่ยังเร่งตัว โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เช่าซื้อมือถือในรูปแบบ ล็อกโฟน อีกทั้งบริษัทสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังคงเดินหน้าผลักดันโมเดล Lock Phone ในเชิงรุก เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ควบคู่กับการขยายแบรนด์ด้านสินเชื่อที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อสร้างฐานรายได้ที่มั่นคงระยะยาว

นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างทดสอบระบบ Sandbox ภายใต้โครงการ SG Finance+ เพื่อรองรับการปล่อยสินเชื่อสำหรับ “iPhone” ซึ่งจะเป็นการต่อยอดจากเดิมที่โฟกัสเฉพาะมือถือระบบแอนดรอยด์ โดยคาดว่าจะได้เห็นทิศทางที่ชัดเจนของการขยายพอร์ตดังกล่าวภายในสิ้นปีนี้

ด้าน บริษัท หลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด กล่าวว่า ฝ่ายวิเคราะห์ได้ให้คำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น SGC โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 1.54 บาท หลังจากล่าสุดสมาคมผู้ค้าปลีกไทยได้เสนอมาตรการเร่งด่วน (Quick Win) ต่อรัฐบาลใหม่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมาตรการดังกล่าวประกอบด้วย 3 แนวทางหลัก

ได้แก่ Spending Boost กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในช่วง 3 เดือน เช่น โครงการคนละครึ่ง ที่เสนอให้ครอบคลุมทุกร้านค้า และเพิ่มวงเงินต่อวันจาก 150 บาท เป็น 300 บาท, Easy e-Receipt กำหนดวงเงิน 100,000 บาทต่อคน ครอบคลุมสินค้าทั่วไปและ OTOP เป็นเวลา 3 เดือน และ Shopping Paradise เสนอการลดภาษีนำเข้าสินค้า Life style จาก 20-30% เหลือ 10-15% เพื่อลดช่องว่างกับสิงคโปร์ มาเลเซีย และฮ่องกง ซึ่งเก็บภาษี 0% พร้อมคืน VAT 7% สำหรับการซื้อสินค้าขั้นต่ำ 3,000 บาท และขยายเวลาวีซ่านักท่องเที่ยวรัสเซียจาก 30 วัน เป็น 45-60 วัน

นอกจากนี้ มาตรการยังครอบคลุมการจ้างงานรายชั่วโมง เพื่อแก้ปัญหาว่างงานของนักศึกษา แรงงานนอกระบบ และผู้สูงอายุ ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารต้นทุนได้คล่องตัวยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในโครงการ Easy e-Receipt ซึ่งครั้งนี้มีวงเงินและระยะเวลามากกว่าครั้งก่อน (100,000 บาท ระยะเวลา 90 วัน จากเดิม 50,000 บาท ระยะเวลา 45 วัน) ที่ผ่านมาเคยมีประชาชนเข้าร่วมโครงการกว่า 1.4 ล้านคน ทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียน 5-7 หมื่นล้านบาท และช่วยสนับสนุน GDP ได้ 0.1-0.2% จากปัจจัยดังกล่าว

ประกอบกับการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่และฤดูจับจ่ายใช้สอย ฝ่ายวิเคราะห์จึงมองว่าโมเมนตัมของ SGC ในช่วงที่เหลือของปี 2568 จะสดใสมากขึ้น และผลักดันธุรกิจให้พลิกฟื้น โดยคาดประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ไว้ที่ระดับ 453 ล้านบาท

Back to top button