“เอกนิติ” ชี้เศรษฐกิจไทยติดหล่ม แจงคนละครึ่งพลัส–แก้หนี้ หวังดัน GDP ไตรมาส 4

รองนายกฯ–รมว.คลัง เปรียบเศรษฐกิจไทยเหมือนรถยนต์ 4 ลูกสูบที่แผ่วจนเหลือเพียงการใช้จ่ายรัฐพยุงประเทศ เดินหน้า Quick Big Win คนละครึ่งพลัส แก้หนี้ครัวเรือน ส่งเสริมการออมผ่านสลากและพันธบัตร หวังดันจีดีพีไตรมาส 4 หลุดระดับ 0.3%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (30 ก.ย.68) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงต่อที่ประชุมรัฐสภาเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเปรียบเปรยว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้เหมือนรถยนต์ที่กำลังวิ่งลงเหว รถยนต์ของเศรษฐกิจไทยมี 4 ลูกสูบ เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน

นายเอกนิติ กล่าวว่า ลูกสูบแรก คือการส่งออก ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ใหญ่ เดิมก่อนหน้าที่สหรัฐอเมริกาจะมีมาตรการภาษี ภาคการผลิตและการส่งออกเร่งตัวได้ดี ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 1–2 ขยายตัว แต่เมื่อโดนเก็บภาษี การส่งออกเริ่มแผ่วลงและกำลังดับ ขณะที่ ลูกสูบที่สอง คือการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งตัวเลขดัชนีจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในเดือนกรกฎาคม ติดลบเป็นครั้งแรกในรอบปี สะท้อนว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคถดถอย หนี้ครัวเรือนที่สะสมมานานกดดันกำลังซื้อ และเมื่อประชาชนไม่มีรายได้ก็ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์จนกลไกการบริโภคภาคเอกชนดับลงจริง ๆ ลูกสูบที่สาม คือการลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งปัจจุบันประเทศใช้กำลังการผลิตเพียง 60% ทำให้เหลือเพียงลูกสูบที่สี่ คือการใช้จ่ายภาครัฐ เป็นเครื่องยนต์เดียวที่ยังคงทำงานอยู่

รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ ระบุว่า จากการประเมินของหน่วยงานเศรษฐกิจ 3 แห่ง คาดการณ์ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3 จะอยู่ที่ 1.7% และไตรมาส 4 จะเหลือเพียง 0.3% เป็นภาพที่ชัดเจนว่ากำลังติดหล่ม คำถามคือรัฐบาลจะทำอย่างไร จะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจโดยละเลยวินัยการคลังหรือไม่ จะใช้เงินทั้งหมดเลยหรือเปล่า ขอยืนยันว่าเรื่องนี้ได้พิจารณาอยู่ตลอด และเห็นว่าหากไม่ใช้เครื่องยนต์การใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จะไม่ใช่เพียงการติดหล่ม แต่จะเป็นการดิ่งเหว ที่ความเสียหายจะทวีคูณและแก้ไขได้ยากขึ้น

นายเอกนิติ เปิดเผยว่า ครม.เศรษฐกิจ มีการหารือกันแทบทุกวัน และใช้หลักคิดเดียวกันในช่วง 4 เดือนนี้คือ “กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว” ภายใต้แนวทาง Quick Big Win ที่ขับเคลื่อนด้วย 5 เสาหลัก ได้แก่ 1. กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว 2. ลดภาระหนี้ของประชาชน 3. เพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ SMEs 4. เพิ่มการออมของประชาชน และ 5. ลงทุนเพื่ออนาคต

นายเอกนิติ อธิบายโดยยกตัวอย่างมาตรการของเสาแต่ละเสาว่า รัฐบาลจะเดินหน้าโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ซึ่งจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ในสัปดาห์หน้า โดยปรับสิทธิจากโครงการเดิมที่ใช้ได้ วันละ 150 บาท จะเป็น 200 บาท ขยายครอบคลุมไปถึงพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย รวมถึงแท็กซี่ และเพิ่มแรงจูงใจด้วยการให้คนที่อยู่ในระบบภาษีได้รับสิทธิ 2,400 บาท พร้อมกับเตรียมมาตรการพัฒนาทักษะ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ค้าสามารถขายของออนไลน์และเข้าสู่ตลาดอีคอมเมิร์ซได้มากขึ้นขณะเดียวกัน ทีมงานของตนได้เริ่มเจรจากับธนาคาร เพื่อจัดทำโครงการสินเชื่อให้พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยด้วย ยืนยันโครงการนี้ไม่ใช่การกู้เงินเพิ่ม แต่เป็นการใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 25,000 ล้านบาท บวกกับอีก 19,000 ล้านบาท ที่สภาอนุมัติไปแล้ว ในเสาแรกนี้ยังมีมาตรการอื่น ๆ เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง ด้วยการให้สิทธิหักภาษีสองเท่าสำหรับการปรับปรุงโรงแรม และการขยายตลาดส่งออก

ในส่วนของการลดภาระหนี้ประชาชน นายเอกนิติ ชี้ว่า รัฐบาลจะเร่งแก้หนี้รายละไม่เกิน 100,000 บาท และสนับสนุนสินเชื่อสำหรับคนตัวเล็ก โดยเฉพาะการจัดการกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่มีจำนวนมาก รวมถึงหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) โดยจะใช้เงินจากกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน ที่เคยใช้ในโครงการ “คุณสู้เราช่วย” เดิมมีวงเงิน 36,000 ล้านบาท เหลืออยู่ 26,000 ล้านบาท เพื่อนำไปตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ร่วมกับธนาคาร เพื่อซื้อหนี้เสียออกมาปรับโครงสร้างใหม่ ยืดหนี้และลดดอกเบี้ยให้ประชาชนหายใจได้คล่องขึ้น จากที่เคยผ่อนเดือนละ 2,000–3,000 บาท อาจลดเหลือเพียง 500 บาทต่อเดือน

รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ ยังกล่าวถึงการเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ SMEs โดยจะจัดสินเชื่อวงเงินไม่เกินรายละ 1 ล้านบาท พร้อมให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาค้ำประกัน โดยได้เตรียมวงเงินขั้นต่ำไว้แล้ว 50,000 ล้านบาท รวมถึงสินเชื่อ Supply Chain Finance และโครงการ “พี่ช่วยน้อง” ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายใหญ่สนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย ผ่านการใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีและการหักค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ กรมสรรพากรจะเร่งคืนภาษี 160,000 ล้านบาท เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจทันที

ด้านการเพิ่มการออมของประชาชน นายเอกนิติ กล่าวว่า รัฐบาลมีแนวทางส่งเสริมการออมผ่านสลาก เพื่อการออมในรูปแบบที่แตกต่างจาก “หวยเกษียณ” โดยจะเชื่อมกับระบบออนไลน์ ให้ประชาชนมีบัญชีสะสมออมที่สามารถนำมาใช้ได้เมื่ออายุ 55 ปี โดยต้องถือครองอย่างน้อย 5 ปี เงินที่นำมาใช้ดำเนินการ จะมาจากการหักค่าการตลาดของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งปลัดกระทรวงการคลังยืนยันว่าพร้อมสนับสนุน นอกจากนี้ยังเตรียมพันธบัตรออมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนในอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และเปิดโอกาสให้ประชาชนรายย่อยสามารถเข้าถึงได้อย่างต่อเนื่องทุกเดือน

ในส่วนของการลงทุนเพื่ออนาคต นายเอกนิติ ระบุว่า จะเน้นการพัฒนาแรงงานด้วยการ Reskill ให้มีทักษะสูง การขับเคลื่อน New S-curve การส่งเสริมการลงทุนด้านพลังงานสะอาด รวมถึงมาตรการ “Fast Pass” ที่จะเร่งปลดล็อกอุปสรรคการลงทุนในโครงการที่ได้รับการอนุมัติจาก BOI ซึ่งปัจจุบันยังมีเงินลงทุนค้างอยู่กว่า 470,000 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2566–2567 ที่ยังไม่เริ่มเดินหน้า เพราะติดขัดเรื่องน้ำ ไฟฟ้า และแรงงาน รัฐบาลจะเร่งปลดล็อกกฎระเบียบเหล่านี้ภายใน 4 เดือน เพื่อให้การลงทุนเกิดขึ้นจริง

นายเอกนิติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเดือนพฤศจิกายนนี้ กระทรวงการคลังจะจัดทำกรอบวินัยการคลังระยะปานกลาง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ โดยจะกำหนดหลักวินัยการคลังอย่างชัดเจน เพิ่มความโปร่งใสของข้อมูล และยกระดับธรรมาภิบาลของระบบการคลัง พร้อมทั้งยืนยันว่า ทุกนโยบายจะต้องอธิบายผลประโยชน์ให้ประชาชนเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าคุ้มค่าหรือไม่

รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ กล่าวทิ้งท้ายว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลเดินหน้าดำเนินการ ได้ผ่านการวิเคราะห์จากทีมเศรษฐกิจแล้วว่าจะช่วยพยุงเศรษฐกิจที่กำลังติดหล่มไม่ให้ถดถอย โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่งพลัสและบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งคาดว่าจะช่วยดันจีดีพีขึ้นได้ราว 0.3% ลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนจาก 87.4% ให้น้อยลง ดึงหนี้เสีย (NPL) ออกจากระบบ เพิ่มสภาพคล่องให้ SMEs และผลักดันให้เงินลงทุนจาก BOI กลายเป็นเม็ดเงินจริงเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ

“GDP ไตรมาส 4 ที่คาดการณ์ไว้ 0.3% ต้องทำให้ดีกว่านั้น” นายเอกนิติ ย้ำ

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :

“เอกนิติ” ยัน “คนละครึ่ง” เข้าครม. สัปดาห์หน้า – วันนี้เคาะงบปี 68

Back to top button