
สแกนหุ้น SET50 ขึ้นแรง-ลงลึก รอบเดือนก.ย. ชู BJC-AOT-SCGP นำโด่ง
สแกนหุ้น SET50 ขึ้นแรง-ลงลึก รอบเดือนก.ย.2568 นำทีมบวก BJC-AOT-SCGP รับปัจจัยบวกการเมืองนิ่ง พ่วงเก็งมาตรการรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนดัชนีหุ้นไทยเดือนก.ย.ทะยานแตะ 1,300 จุด ขณะที่หุ้นกลุ่มสื่อ-พลังงาน–สื่อสารถูกแรงขายกดดัน
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” รวบรวมข้อมูลการเคลื่อนไหวของหุ้นในกลุ่ม SET50 ช่วงเดือนกันยายน 2568 โดยเทียบจากราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 29 สิงหาคม 2568 กับราคาหุ้นปิด ณ 30 กันยายน 2568 เพื่อแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในช่วงดังกล่าว
อีกทั้งได้สำรววจความเคลื่อนไหวดัชนี SET ตลอดเดือนกันยายน 2568 โดยพบว่า ภาพรวมดัชนี SET ปรับตัวขึ้น 37.56 จุด หรือ +3.03% จากระดับ 1,236.61 จุด ณ วันที่ 29 สิงหาคม 2568 มาปิดที่ 1,274.17 จุด ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568 และสามารถกลับมาทดสอบระดับ 1,300 จุดอีกครั้ง
โดยแรงหนุนหลักมาจากปัจจัยการเมืองที่ชัดเจนขึ้น หลังรัฐบาลใหม่เดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และมาตรการด้านกำลังซื้อ ขณะที่นักลงทุนยังคงคาดหวังต่อเนื่องว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะสั้นถึงกลาง ส่งผลบวกต่อ Sentiment ตลาด
ด้านหุ้นที่โดดเด่นและช่วยหนุนดัชนี ได้แก่ อาทิ BJC, AOT, SCGP, TLI, LH, TOP, KTC, CPN, MTC, CPALL, PTT, SCC, CBG, OR, DELTA, HMPRO, OSP, TIDLOR, TU, IVL, PTTEP, CRC, CPF, TISCO, COM7, AWC และ KTB ดังตารางประกอบดังนีเ้
สำหรับบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ราคาหุ้นวิ่งนำกลุ่ม 19.19% โดยราคาปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 30.50 บาท(ณ 30 ก.ย.68) จากที่อยู่ระดับ 17.20 บาท (ณ 29 ส.ค.68)
โดยบริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตยอดขายปี 2568 อยู่ในระดับตัวเลขหลักเดียวต่ำ (Low Single Digit) ที่ 1-3% โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Supply Chain) ซึ่งคาดยอดขายปีนี้จะเติบโตในช่วง 1-9% หนุนด้วยการออกสินค้าใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าสุขภาพและพรีเมียม รวมถึงการขยายช่องทางอีคอมเมิร์ซและการรุกตลาดต่างประเทศ
ธุรกิจสุขภาพ (Healthcare and Technical Supply Chain) คาดโตในระดับตัวเลขหลักเดียวกลางถึงสูง (Mid to High Single Digits) โดยมองหาโอกาสจากตลาดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น ยารักษาโรคเบาหวาน รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมความงามอย่างคอลลาเจน ทั้งนี้ บริษัทได้ลงนาม MOU กับ Bangkok Lab & Cosmetic เพื่อร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์ BJC Healthcare คาดเห็นความร่วมมือชัดเจนในไตรมาส 4/2568
สำหรับธุรกิจบรรจุภัณฑ์ (Packaging Supply Chain) เน้นการเติบโตในบรรจุภัณฑ์กระป๋องขนาด 500 มิลลิลิตร และการขยายตลาดบรรจุภัณฑ์แก้วเข้าสู่เซ็กเมนต์พรีเมียม อาทิ ขวดน้ำหอมและเครื่องสำอาง โดยจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนพฤศจิกายน 2568
ด้านธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Retail Supply Chain) บริษัทปรับลดเป้าหมายยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ให้ทรงตัวจากปีก่อน และลดเป้าการขยายสาขา Big C mini เหลือ 100-120 สาขา จากแผนเดิม 200 สาขา พร้อมปรับโมเดลสาขาให้มีขนาดใหญ่ขึ้น และทยอยปิดสาขาที่ไม่สร้างประสิทธิภาพรวม 164 สาขา (ครึ่งปีแรกปิดแล้ว 44 สาขา และเตรียมปิดเพิ่มอีก 120 สาขาในครึ่งปีหลัง)
นอกจากนี้ บริษัทยังเร่งขยายฐานสมาชิก Big Point จากปัจจุบัน 21.5 ล้านราย และเพิ่มการใช้งานคะแนนสะสมให้เฉลี่ยถึง 70% จากปัจจุบัน 66% ผ่านโปรโมชั่นเจาะกลุ่มผู้บริโภคเฉพาะบุคคล (Personalized Marketing) ขณะที่งบลงทุนปี 2568 วางไว้ 10,000-12,000 ล้านบาท เพื่อขยายและปรับปรุงสาขาค้าปลีก รวมถึงการลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์กระป๋อง
ด้านบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ราคาหุ้นวิ่ง 12.50% โดยราคาปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 40.50 บาท(ณ 30 ก.ย.68) จากที่อยู่ระดับ 36.00 บาท (ณ 29 ส.ค.68) คาดรับอานิสงส์การท่องเที่ยวและมาตรการกรต
ษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินทิศทางการลงทุนระบุว่า ราคาหุ้นในวันนี้มีโมเมนตัมบวก สามารถทะลุผ่านแนวต้านเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญ ได้แก่
1.แรงส่งจากช่วง Golden Week ซึ่งสะท้อนผ่านสัญญาณเชิงบวก นักท่องเที่ยวจีนเดินทางผ่านรถไฟสายปากแม่น้ำแยงซีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
2.นโยบายการท่องเที่ยวเชิงรุกของรัฐบาลใหม่ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา วางเป้าหมายดึงนักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศ 3–5 ล้านคน ภายใน 4 เดือนข้างหน้า หรือเฉลี่ย 5.0–7.5 แสนคนต่อเดือน เทียบกับระดับปัจจุบันราว 3.5 แสนคนต่อสัปดาห์ โดยรายละเอียดแผนน่าจะชัดเจนขึ้นในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัปดาห์หน้า
3.ความคาดหวังต่อการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมภาษีสนามบิน ซึ่งหากมีการปรับจริง จะถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี บ่งชี้ถึงแนวทางใหม่ของรัฐที่มุ่งสร้างฐานทุนรองรับการขยายสนามบิน โดย AOT ถือว่ามีความพร้อมเต็มที่ ทั้งในด้านการลงทุนและการรองรับนักท่องเที่ยวเพิ่มเติมในอนาคต
4.พัฒนาการเชิงพาณิชย์ในพื้นที่สนามบิน ที่คาดว่าจะทยอยมีข้อสรุปออกมาในระยะถัดไป
โดยจากปัจจัยเร่งดังกล่าวคาดว่าจะหนุนแรงซื้อหุ้น AOT อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกลุ่มท่องเที่ยวในดัชนี SET Tourism พบว่า AOT ยังถือเป็นหุ้น Laggard โดยนับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน AOT ปรับตัวลดลง 29.8% ขณะที่กลุ่ม SET Tourism ลดลงเพียง 13.5%
ทั้งนี้ ประเมินราคาเป้าหมายสูงสุดของ AOT ที่ 48 บาท โดยยังมีอัพไซด์เหลือ ขณะที่กรอบการเก็งกำไรระยะสั้นให้แนวรับที่ 42–41.25 บาท และแนวต้านที่ 45–47 บาท
บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ราคาหุ้นวิ่งนำกลุ่ม 12.28% โดยราคาปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 19.20 บาท(ณ 30 ก.ย.68) จากที่อยู่ระดับ 17.10 บาท (ณ 29 ส.ค.68)
ด้านนายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเป้ากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ปีนี้ไว้ที่ระดับ 18,000 ล้านบาท โดยครึ่งแรกปี 2568 ทำได้แล้ว 8,489 ล้านบาท เนื่องจากคาดว่าช่วงครึ่งหลังอาเซียนจะมีความต้องการบรรจุภัณฑ์ภายในประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค จากการกระตุ้นเศรษฐกิจและคาดการณ์จีดีพีเติบโตสูงกว่าภูมิภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
ขณะเดียวกัน การเติมสต๊อกสินค้าช่วงสิ้นปีนี้ โดยต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) และค่าขนส่ง มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามความต้องการในภูมิภาคที่ปรับดีขึ้น โดยมองว่าอาเซียนยังแข็งแกร่ง จากการบริโภคในประเทศที่ดี และกลยุทธ์กระจายการส่งออก โดยเฉพาะเวียดนามและอินโดนีเซีย ที่มีความได้เปรียบจากนโยบายภาษีที่เอื้อต่อการแข่งขัน โดยเวียดนามอยู่ที่ 20% และอินโดนีเซียอยู่ที่ 19% อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามผลกระทบจากมาตรการภาษี (Reciprocal Tariff) จากประเทศที่ยังไม่มีข้อสรุป แต่หากประเทศไทยโดนจัดเก็บภาษี Reciprocal Tariff ที่ระดับ 25% ก็ยังสูงกว่าเวียดนาม 5% ทำให้การใช้สินค้าไทยก็จะแพงกว่า 5% ดังนั้นการลดต้นทุนจะช่วยลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2568 คาดว่าปริมาณการขายจะเติบโตขึ้นจากปีก่อน มาจากอาเซียนเป็นหลัก แต่ราคาขายปรับลดลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 บริษัทมีรายได้รวม 63,766 ล้านบาท ลดลง 6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 1,910 ล้านบาท ลดลง 40% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมี EBITDA อยู่ที่ 8,489 ล้านบาท ลดลง 13% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตามยังมีหุ้นหลายตัวปรับลงแรงจากปัจจัยเฉพาะตัว และแรงขายทำกำไร หลังบริษัทประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล อาทิ KBANK,BDMS, TCAP, ADVANC, WHA, KKP,MINT, BH, BEM, EGCO, BTS, BBL, BANPU, RATCH, BCP, PTTGC, CCET, GULF,GPSC,TRUE,VGI อย่างไรก็ตามการอ่อนตัวดังกล่าวเป็นโอกาสเข้าซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานแกร่งหลังราคาลงลึก