
“ชัยยศ” แนะสอย AOT-CENTEL เด่นรับอานิสงส์ “Golden Week” ดันยอดนักท่องเที่ยวจีนพุ่ง
นายชัยยศ จิวางกูร แนะลงทุน AOT-CENTEL รับแรงหนุน Golden Week ดันยอดนักท่องเที่ยวจีนเพิ่ม และใกล้ High Season ไตรมาส 4/68 หนุนผลงานโต พร้อมจับตา KTC-MTC เด่นสุดหาก กนง. ลดดอกเบี้ย
นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS เปิดเผยในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันนี้ (8 ต.ค.68) ช่วงนี้การเคลื่อนไหวของดัชนี SET Index ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจาก บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA เป็นหลัก ซึ่งอาจไม่ได้สะท้อนภาพรวมของผลประกอบการหุ้นในตลาดโดยทั่วไปมากนัก ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปในช่วงประมาณ 3 วันที่ผ่านมาดัชนี SET ปรับตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดบริเวณ 1,270 จุด มาปิดเหนือระดับ 1,300 จุด หรือเพิ่มขึ้นกว่า 30 จุด ซึ่งหากมองนั้น DELTA เพียงตัวเดียวมีส่วนช่วยดันดัชนีขึ้นราว 30 จุด
อีกประเด็นหนึ่งที่ต้องจับตา คือ ปริมาณการซื้อขาย (วอลุ่ม) ในตลาดที่ยังไม่เร่งตัวขึ้นมากพอจะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้ โดยปกติหากดัชนี SET ปรับตัวขึ้นแรง ช่วงที่ผ่านมา 3 วัน ดัชนีปรับขึ้นกว่า 30 จุด ควรจะมีมูลค่าการซื้อขายอยู่ราว 40,000-50,000 ล้านบาท เพื่อสะท้อนแรงซื้อที่แข็งแกร่งและมีฐานนักลงทุนรองรับ อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาปริมาณการซื้อขายยังอยู่เพียงระดับ 30,000 ล้านบาท เท่านั้น จึงเชื่อว่าการดีดตัวของตลาดรอบนี้ได้รับแรงหนุนหลักจากหุ้น DELTA เพียงตัวเดียวเป็นสำคัญ
ขณะที่ เมื่อวานนี้ 7 ต.ค.68 ยังมีแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มอื่นๆ เข้ามาช่วยพยุงดัชนี SET Index เพิ่มเติม โดยเฉพาะหุ้นใน กลุ่มไฟแนนซ์และค้าปลีก ที่ได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการ “คนละครึ่งพลัส” ซึ่ง คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติวงเงินงบประมาณ 44,000 ล้านบาท ออกมาแล้ว รวมไปถึง การประชุม คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ย ในมุมมองของ IAA Consensus คาดว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ก่อน เพื่อปรับลดในระยะถัดไป เนื่องจากในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา กนง.ได้ปรับลดดอกเบี้ยลงมาแล้ว 2 ครั้ง อย่างไรก็ตามหากที่ประชุมวันนี้มีเซอร์ไพรส์ปรับลดดอกเบี้ยลงอีกครั้งเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะตอบรับในเชิงบวกทันที
นายชัยยศ กล่าวเสริมว่า หากมีเซอร์ไพรส์ลดดอกเบี้ยจะถือเป็นการดำเนินการที่เสียของหรือไม่นั้น เนื่องจากนโยบายการคลังยังไม่มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบนั้น มองว่าการดำเนินการไม่ถือเป็นการเสียของเพราะสะท้อนถึงการประเมินของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในจุดที่ต้องการแรงกระตุ้นเพิ่มเติม หากมองจากข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด โดยเฉพาะตัวเลขเงินเฟ้อเดือนที่ผ่านมา ที่ติดลบประมาณ 0.72% แสดงให้เห็นว่าแรงกดดันเงินเฟ้อในประเทศแทบไม่มี ซึ่งถือเป็นจังหวะที่เหมาะสม ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยกรุงศรียังไม่ตัดโอกาสที่ กนง.จะปรับลดดอกเบี้ยลงได้ในการประชุมครั้งนี้
ส่วนประเด็น FTSE Russell ประกาศผลการพิจารณาปรับสถานะตลาดหุ้นเวียดนาม จาก Frontier Market (ตลาดชายขอบ) ขึ้นเป็น Emerging Market (ตลาดเกิดใหม่) เหตุการณ์นี้มีโอกาสสูงที่จะส่งผลต่อกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (Fund Flow) ในภูมิภาค
นายชัยยศอธิบายว่า เวียดนามได้รับการปรับสถานะจะดึงดูดเม็ดเงินลงทุน ซึ่งอาจทำให้เงินทุนบางส่วนที่เคยไหลเข้าตลาดหุ้นไทยถูกเบนทิศทางไปยังเวียดนามแทน โดยให้ภาพเปรียบเทียบว่า หากมีเงินลงทุนรวม 100 บาท ที่กระจายลงทุนทั่วโลก เงินส่วนใหญ่ราว 70 บาทจะเข้าสู่ตลาดพัฒนาแล้ว อีกประมาณ 20 บาทเข้าสู่ตลาดระดับกลางเช่น ไต้หวัน และส่วนที่เหลือราว 10 บาท จะถูกจัดสรรให้กับตลาดเกิดใหม่และตลาดชายขอบในภูมิภาค
ที่ผ่านมาตลาดในกลุ่มนี้ประกอบด้วย ไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย แต่หากเวียดนามถูกยกระดับขึ้นมาจะทำให้ต้องแบ่งส่วนเม็ดเงิน 10 บาทเดิมออกเป็น 4 ประเทศ แทนที่จะมีเพียง 3 ประเทศเหมือนเดิม ทั้งนี้ยังคงต้องรอการประเมินอีกครั้งนึง
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนนั้นสำหรับวันนี้แนะนำ กลุ่มท่องเที่ยว เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาณบวกที่ชัดเจนจากจำนวน นักท่องเที่ยวจีน ที่เดินทางเข้ามาในช่วงเทศกาล Golden Week ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ภาครัฐยังมีแผนเตรียมออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ซึ่งจะเป็นแรงหนุนต่อเนื่องให้กับกลุ่มนี้
ขณะเดียวกัน ไตรมาส 4/68 ถือเป็นช่วง High Season ทำให้แนวโน้มผลประกอบการของหุ้นในกลุ่มนี้มีโอกาสปรับตัวดีขึ้นทั้งเชิงปัจจัยพื้นฐานและกระแสเก็งกำไร หุ้นเด่น 2 ตัวในกลุ่มท่องเที่ยว ได้แก่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ราคาเป้าหมายตาม IAA Consensus ที่ 48 บาท รับอานิสงส์จากและ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL ให้ราคาเป้าหมายที่ 33 บาท
นอกจากกลุ่มท่องเที่ยวแล้วนักลงทุนสามารถพิจารณาหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการ “คนละครึ่ง” ได้แก่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT และ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ขณะที่ หาก กนง.ลดอัตราดอกเบี้ยมองว่า กลุ่มไฟแนนซ์ ที่น่าสนใจและมีโอกาสได้ประโยชน์โดยตรง ได้แก่ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC และ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC รวมไปถึงกลุ่มโรงไฟฟ้าจะได้รับประโยชน์จากการลดอัตราดอกเบี้ย เพราะกลุ่มนี้มีการกู้ยืมเงินจำนวนมากเพื่อใช้ลงทุนในโครงการต่างๆ เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นการกู้แบบดอกเบี้ยลอยตัว การปรับลดดอกเบี้ยจึงทำให้ ต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายลดลง แนะนำหุ้นอย่าง บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF