
ก.ล.ต. ตีกรอบโฆษณาบริษัทหลักทรัพย์
ปัจจุบัน “สื่อดิจิทัล” เป็นหนึ่งช่องทางหลัก ในการเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของประชาชน ขณะเดียวกันฟินฟลูเอนเซอร์ (Finfluencer) มีบทบาทมากขึ้น
เมกะเทรนด์: สุภชัย ปกป้อง
จากวันนี้จนถึงวันที่ 9 พ.ย. 68 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อหลักการปรับปรุง “หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการโฆษณาของผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า” เพื่อให้การกำกับดูแลมีความครอบคลุมเหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป
ปัจจุบัน “สื่อดิจิทัล” เป็นหนึ่งช่องทางหลัก ในการเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของประชาชน ขณะเดียวกันฟินฟลูเอนเซอร์ (Finfluencer) มีบทบาทมากขึ้น ในการเผยแพร่ความรู้และมุมมองด้านการลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ลงทุนรายย่อยผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ที่มีความหลากหลาย ช่วยให้ผู้ลงทุนเข้าถึงข้อมูลสะดวกและกว้างขวางมากขึ้น
แต่มักมาพร้อมกับความเสี่ยง ทั้งด้านความถูกต้อง ความโปร่งใสและการให้คำแนะนำโดยไม่ได้รับอนุญาต โดย ก.ล.ต.วิเคราะห์ช่องว่างในการกำกับดูแล (Gap Analysis) พบว่า หลักเกณฑ์ปัจจุบันมีข้อจำกัดในการกำกับดูแลการโฆษณาที่เปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมของผู้ลงทุน
นั่นทำให้ก.ล.ต.จึงทำการปรับปรุงหลักเกณฑ์ เกี่ยวกับการโฆษณาของผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ผู้ประกอบธุรกิจ) เพื่อให้สอดคล้องกับการโฆษณารูปแบบใหม่ ๆ ที่เปลี่ยนแปลงตามพฤติกรรมของผู้ลงทุน โดยเพิ่มเติมหน้าที่ของผู้ประกอบธุรกิจ ดังนี้
1)คัดเลือกผู้จัดทำโฆษณาจัดให้มีหลักเกณฑ์และกระบวนการคัดเลือกผู้จัดทำโฆษณาที่มีความพร้อมและน่าเชื่อ ถือ
2)จัดให้มีข้อตกลงระหว่างผู้ประกอบธุรกิจและผู้จัดทำโฆษณา และกำหนดรายละเอียดข้อตกลงที่ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถปฏิบัติตามที่หลักเกณฑ์การโฆษณากำหนดได้
3)กำกับดูแลการโฆษณา กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจควบคุมดูแลการจัดทำและการเผยแพร่โฆษณา ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เช่น การตรวจสอบหรืออนุมัติเนื้อหาการโฆษณาก่อนเผยแพร่ และการดูแลให้ผู้จัดทำโฆษณาปฏิบัติตามที่หลักเกณฑ์การโฆษณากำหนด
4)เปิดเผยข้อมูลกรณีโฆษณาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ให้เปิดเผยคำเตือนเพิ่มเติมไว้ ในส่วนของคำอธิบาย/รายละเอียดของโพสต์ (Description) หรือในคำบรรยายใต้ภาพ/โพสต์ (Caption)
กรณีมีการว่าจ้างผู้จัดทำโฆษณา ให้เปิดเผยให้ผู้ลงทุนทราบว่าเป็นโฆษณา ที่ถูกว่าจ้างโดยผู้ประกอบธุรกิจทุกช่องทางและรูปแบบที่มีการเผยแพร่โฆษณา เว้นแต่เป็นรูปแบบที่เห็นได้ชัดแจ้งอยู่แล้วว่าเป็นการโฆษณา (เช่น ป้ายโฆษณาหรือ สปอตโฆษณา)
“เมกะเทรนด์” ที่เปลี่ยนไปทำให้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม แต่สุดท้ายทั้งบริษัทหลักทรัพย์ และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องภาคส่วนต่าง ๆ จะมีความคิดเห็นอย่างไร..ต้องติดตามกันต่อไป..!?