MASTEC ปักหมุดลุย “ธุรกิจวิศวกรรมสีเขียว” ดันรายได้โตยั่งยืน รับเทรนด์ ESG

MASTEC วางกลยุทธ์ธุรกิจนวัตกรรมอนุรักษ์พลังงาน–สิ่งแวดล้อม New S-Curve ดันรายได้โตยั่งยืน สอดรับดีมานด์โครงการอาคาร–โรงงานประหยัดพลังงานขยายตัวแรง รับเมกะเทรนด์ ESG และการลงทุน Net Zero พร้อมนำเงินระดมทุนจาก IPO มูลค่า 114.55 ล้านบาท ลุยขยายตลาด–ซินเนอร์ยี่ธุรกิจระบบอัคคีภัย เตรียมจ่อเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ SET สัปดาห์หน้า


นายดุษฎี มีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมสเทค ลิ้งค์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTEC เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันนี้ (21 ต.ค.68) ว่า บริษัท MASTEC ดำเนินธุรกิจนำเข้าและจัดหาผลิตภัณฑ์ด้านวิศวกรรมเพื่อจำหน่าย ประกอบด้วย 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ คือ 1) ผลิตภัณฑ์ระบบปรับอากาศและสุขาภิบาล 2) ผลิตภัณฑ์การป้องกันอัคคีภัยและผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัย  และ3) ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมด้วยการให้คำปรึกษา นำเสนอโซลูชั่นและให้บริการด้านวิศวกรรมของงานระบบอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแบบครบวงจรให้แก่ลูกค้า

ทั้งนี้บริษัทฯมีทีมวิศวกรและทีมผู้เชี่ยวชาญสำหรับการให้บริการตั้งแต่การทำความเข้าใจแบบวิศวกรรม ออกแบบระบบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ จำหน่าย ศึกษา ตรวจสอบ ให้คำปรึกษา เพื่อนำเสนอโซลูชั่นที่เหมาะสมทั้งด้านเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์ ข้อกำหนดกฎหมายที่เกี่ยวข้องและสอดคล้องงบประมาณโดยรวมของลูกค้า ครอบคลุมถึงให้บริการติดตั้ง ตรวจสอบ ซ่อมแซมและบำรุงรักษาผลิตภัณฑ์ด้านวิศวกรรมเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับธุรกิจกกลุ่มธุรกิจที่ 3 บริษัทวางเป้าจะเป็นธุรกิจ New S-Curve จะกลายเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตระยะยาวของ MASTEC  โดยมองว่าเน้นนวัตกรรมประหยัดพลังงานและสิ่งแวดล้อม โดยกลุ่มธุรกิจใหม่นี้เป็นการต่อยอดจากความเชี่ยวชาญทางวิศวกรรมของบริษัท โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโซลูชันที่ช่วย ลดการใช้พลังงานและสนับสนุนเป้าหมาย Net Zero– ESG ซึ่งกำลังกลายเป็นข้อบังคับในหลายภาคส่วน

โดยในอาคารและโรงงานระบบที่ใช้พลังงานมากที่สุดคือระบบปรับอากาศ ซึ่งกินไฟราว 50% ของทั้งอาคาร ดังนั้นบริษัทฯจึงพัฒนาและนำเข้าอุปกรณ์นวัตกรรมเพื่อช่วยให้มอเตอร์และคูลลิ่งทาวเวอร์ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยประหยัดพลังงานได้อย่างเป็นรูปธรรม สอดรับกับแนวทางพัฒนาอย่างยั่งยืนและการอนุรักษ์พลังงานในอุตสาหกรรมก่อสร้าง

ด้านนายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า MASTEC เป็นบริษัทมีความโดดเด่นในด้านความมั่นคงและความเชี่ยวชาญทางเทคนิค โดยเฉพาะทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์รวมกันกว่า 30 ปี ในอุตสาหกรรมงานระบบอาคาร ส่งผลให้ธุรกิจดำเนินอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพยาวนานกว่า 25 ปี

ดังนั้นในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินที่ร่วมงานกับ MASTEC มากว่า 4 ปี เห็นได้ชัดว่าบริษัทมีความยั่งยืนในการดำเนินงานสูง และเป็นหนึ่งในผู้นำอันดับต้น ๆ ของประเทศในกลุ่มงานระบบ โดยเฉพาะใน กลุ่มที่ 1 (ผลิตภัณฑ์ระบบปรับอากาศและสุขาภิบาล)  และกลุ่มที่ 2 (ผลิตภัณฑ์การป้องกันอัคคีภัยและผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัย) ซึ่งครอบคลุมงานระบบปรับอากาศ สุขาภิบาล ระบบอัคคีภัย และความปลอดภัย ทั้งหมดเป็นองค์ประกอบหลักของงานก่อสร้างทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นอาคาร ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล โรงงาน โครงการสาธารณูปโภค เช่น รถไฟใต้ดินหรือสนามบิน

โดยธุรกิจกลุ่มนี้เติบโตสอดคล้องกับเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศไทยเฉลี่ยปีละ 2–3% ในช่วง 5–7 ปีที่ผ่านมา จึงช่วยรักษาเสถียรภาพรายได้ของบริษัทได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่อง พร้อมเติบโตตามการลงทุนภาครัฐและเอกชน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่โดดเด่นและมีศักยภาพในการเติบโตสูงสุดคือ กลุ่มธุรกิจที่ 3 ซึ่งมุ่งเน้น นวัตกรรมด้านการประหยัดพลังงานและสิ่งแวดล้อม (Energy & Environmental Innovation) เพื่อรองรับเทรนด์ Net Zero และ ESG ที่กำลังเป็นวาระสำคัญของทุกภาคอุตสาหกรรม โดย MASTEC ได้วางรากฐานและพัฒนาโครงการนี้ต่อเนื่องมากว่า 4–5 ปี ก่อนการเตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์

“ในปี 2565 สัดส่วนรายได้จากกลุ่มที่ 3 ยังไม่ถึง 1% แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 10% ภายในเวลาเพียง 3 ปี ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งและต่อเนื่อง”  นายสมศักดิ์ กล่าว

นายสมศักดิ์กล่าว กล่าวเสริมว่า การเติบโตของกลุ่มนี้ไม่ได้มาจากการแย่งส่วนแบ่งของกลุ่มหลัก แต่เป็นการขยายพอร์ตเสริม ทำให้รายได้รวมของบริษัทเติบโตในภาพรวมอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ 3 ของ MASTEC ครอบคลุมอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน ระบบบำบัดน้ำ และโซลาร์เซลล์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับมาตรฐาน ESG ของภาคอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น (Margin) ของบริษัท เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและมีการแข่งขันต่ำ

“ธุรกิจนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่บริษัทได้เตรียมการและลงทุนมานาน เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต วันนี้ตัวเลขเริ่มสะท้อนในงบการเงินแล้ว และจะกลายเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตระยะยาวของ MASTEC” นายสมศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับ MASTEC อยู่ระหว่างเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 79 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 26.33 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO โดยเปิดจองซื้อในวันที่ 17, 20 และ 21 ตุลาคม 2568 พร้อมเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2568 นี้

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนเพื่อรองรับแผนรุกธุรกิจในกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ด้านวิศวกรรมสำหรับตลาดอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม และเป็นเงินทุนสำหรับรองรับธุรกิจใน Synergy Products ของกลุ่มผลิตภัณฑ์การป้องกันอัคคีภัย รวมถึงขยายช่องทางการตลาดภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนกิจการ

ทั้งนี้การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นไอพีโอที่ 1.45 บาทต่อหุ้น ซึ่งพิจารณาจากอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) เท่ากับ 9.06 เท่า โดยคำนวณจากผลการดำเนินงานในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม  2567 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ซึ่งมีกำไรสุทธิเท่ากับ 46.75  ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทหลังจากการเสนอขายหุ้นไอพีโอในครั้งนี้ ซึ่งเท่ากับ 300 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท จะได้กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.16 บาท หากคิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ก่อนออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนสำหรับการไอพีโอ เท่ากับ 0.21 บาทต่อหุ้น (คำนวณจากจำนวนหุ้น 221 ล้านหุ้น)

นายดุษฎี กล่าวทิ้งท้าย คาแรกเตอร์ของ MASTEC จะไม่ใช่เพียงผู้จำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรมทั่วไป แต่เป็น “โครงสร้างพื้นฐานด้านวิศวกรรมอย่างยั่งยืน” ที่ให้บริการโซลูชันครบวงจร โดยตั้งเป้าหมายให้เป็นหุ้น Growth Stock และ Dividend Stock เข้าด้วยกัน

บริษัทมุ่งเน้นสร้างการเติบโตผ่าน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ระบบปรับอากาศและสุขาภิบาล ระบบอัคคีภัยและความปลอดภัย และนวัตกรรมประหยัดพลังงาน–สิ่งแวดล้อม ซึ่งกลุ่มหลังจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในยุค Net Zero และ ESG อีกทั้งยังมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ เพื่อสร้างผลตอบแทนระหว่างทางให้ผู้ถือหุ้น

Back to top button