
นายกถก กกต. เคาะกรอบทำประชามติ แก้ รธน.–MOU 43-44 ควบเลือกตั้งใหญ่ 29 มี.ค.69
นายก “อนุทิน” นำคณะเข้าหารือ กกต. วางแนวทางจัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญควบคู่เลือกตั้งทั่วไป คาดกาบัตรพร้อมกัน 29 มี.ค.69 หลังย้ำกรอบยุบสภา 31 ม.ค.ปีหน้า ด้านประธาน กกต. เผยใช้งบ 9 พันล้าน ตั้ง “บวรศักดิ์” ถก “แสวง” เดินหน้าดำเนินการโดยเร็ว
ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (สำนักงาน กกต.) ว่า ช่วงเช้าวันนี้ (24 ต.ค.68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมคณะ ได้แก่ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายอนันต์ แก้วกำเนิด ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และนางณัฐฏ์จารี อนันตศิลป์ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เข้าหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

โดยมีนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย 6 กกต. ได้แก่ นายสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ นายฐิติเชฏฐ์ นุชนาฏ นายชาย นครชัย นายสิทธิโชติ อินทรวิเศษ นายณรงค์ กลั่นวารินทร์ และนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ร่วมประชุมด้วย
การประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อรับฟังความเห็นจาก กกต. เกี่ยวกับกรอบระยะเวลาการเลือกตั้งทั่วไปในวันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2569 และแนวทางการจัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ รวมถึงการออกเสียงประชามติในประเด็นบันทึกความเข้าใจ (MOU) ไทย–กัมพูชา ปี 2543–2544 ให้จัดพร้อมวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เพื่อความสะดวกและลดงบประมาณการดำเนินการ
ตามกรอบที่นายบวรศักดิ์ เปิดเผย หากนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาภายในวันที่ 31 มกราคม 2568 ตามข้อตกลง (MOA) ระหว่างพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย กกต. จะสามารถประกาศวันเลือกตั้งทั่วไปในราชกิจจานุเบกษา ภายในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2569 และจัดให้มีการเลือกตั้งพร้อมทำประชามติ ภายใน 45–60 วัน หลังพระราชกฤษฎีกายุบสภามีผลบังคับ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 103 วรรคสาม โดยวันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2569 ถูกกำหนดเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการจัดให้ทั้งสองกระบวนการเกิดขึ้นพร้อมกัน

นายอิทธิพร ให้สัมภาษณ์ภายหลังการหารือว่า การประชุมวันนี้เป็นการหารือแนวทางจัดประชามติควบคู่กับการเลือกตั้ง เป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนในภาพรวม ยังไม่ได้ลงรายละเอียด เบื้องต้นจะมีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ (สส.เขต, สส.บัญชีรายชื่อ) และบัตรออกเสียงประชามติ อีก 2 ใบ หากต้องจัดประชามติทั้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญและ MOU ไทย–กัมพูชา รวมทั้งหมดเป็น 4 ใบ ซึ่งต้องวางระบบบริหารจัดการอย่างรอบคอบ เพื่อให้ผู้มีสิทธิออกเสียงและเจ้าหน้าที่ไม่สับสน
นายอิทธิพร กล่าวอีกว่า กกต. พร้อมดำเนินการ ภายหลัง พระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ฉบับใหม่ พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้แล้ว โดยเป็นครั้งแรกที่จะเปิดให้มีการออกเสียงนอกราชอาณาจักร ส่วนวิธีการนับคะแนนยังอยู่ระหว่างการหารือรายละเอียด
ทั้งนี้ หากจัดประชามติและเลือกตั้งพร้อมกัน คาดใช้งบประมาณประมาณ 9,000 ล้านบาทเศษไม่ถึง 9,500 ล้านบาท แต่หากแยกดำเนินการ จะใช้งบประมาณราวว่า 10,000 ล้านบาท โดยมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งหน้า ทั่วประเทศอยู่ที่ราว 53 ล้านคน
ด้านนายอนุทิน ตอบคำถามกรณีความชัดเจนเรื่องทบทวน MOU ปี 2543–2544 ว่า อยู่ในนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภาแล้ว พร้อมยืนยันกรอบเวลายุบสภาเดิม ภายในวันที่ 31 มกราคม 2569 โดยมอบหมายให้นายบวรศักดิ์ เป็นประธานคณะทำงาน ร่วมหารือกับนายแสวง เลขาธิการ กกต. เพื่อกำหนดแนวทางดำเนินการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด

