MASTEC ลุยเทรดวันแรกเหนือจอง โบรกชูเป้าสูงสุด 2.37 บ. ชี้กำไรเฉลี่ย 3 ปี โต 17%

MASTEC มั่นใจลงสนามเทรด SET วันแรกเหนือจอง โบรกเคาะเป้าสูงสุด 2.37 บาท ชูจุดแข็งด้านเทคโนโลยีวิศวกรรมครบวงจร-เดินหน้าพัฒนาโซลูชั่นเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม สำหรับเงินระดมทุน 114.55 ล้านบาท ใช้ในการต่อยอดธุรกิจกลุ่มพลังงานสะอาด พร้อมขยายตลาดทั่วประเทศ ด้านบล.บียอนด์ คาดกำไรสุทธิปี 68-70 เติบโตเฉลี่ย 17%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (27 ต.ค. 68) หลักทรัพย์ของ บริษัท แมสเทค ลิ้งค์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTEC เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรก และเป็นหลักทรัพย์ SET รายที่ 4 ของปีนี้ โดยหุ้นเทรดภายใต้กลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุตสาหกรรม หมวดธุรกิจวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร โดยใช้ชื่อย่อ ‘MASTEC’ ในการซื้อขายหลักทรัพย์

สำหรับ MASTEC  ดำเนินธุรกิจนำเข้าและจัดหาผลิตภัณฑ์ด้านวิศวกรรมเพื่อจำหน่าย ประกอบด้วย 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ คือ 1) ผลิตภัณฑ์ระบบปรับอากาศและสุขาภิบาล 2) ผลิตภัณฑ์การป้องกันอัคคีภัยและผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัย และ 3) ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมด้วยการให้คำปรึกษา นำเสนอโซลูชั่นและให้บริการด้านวิศวกรรม”

โดยมีทุนชำระแล้วหลัง IPO จำนวน  300 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท เสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน  79 ล้านหุ้น โดยเสนอขายที่ราคาหุ้นละ 1.45 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนจากหุ้นใหม่ 114.55 ล้านบาท โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO มูลค่า 435 ล้านบาท โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจำหน่าย และรับประกันการจำหน่าย และมีบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จํากัด (มหาชน) ร่วมเป็นผู้จัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่าย

โดยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯและเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ บริษัทมีวัตถุประสงค์เพื่อสำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนเพื่อรองรับแผนรุกธุรกิจในกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ด้านวิศวกรรมสำหรับตลาดอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม และเป็นเงินทุนสำหรับรองรับธุรกิจใน Synergy Products ของกลุ่มผลิตภัณฑ์การป้องกันอัคคีภัย รวมถึงขยายช่องทางการตลาดให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนกิจการ

นายดุษฎี มีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MASTEC กล่าวว่า การเข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งนับเป็นอีกก้าวสำคัญที่เชื่อว่าจะสนับสนุนให้ MASTEC มีการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน โดย MASTEC มุ่งเป็นผู้นำเสนอโซลูชั่นเทคโนโลยีด้านวิศวกรรมงานระบบอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแบบครบวงจร โดยมีทีมวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญในการให้บริการลูกค้า

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ จะนำไปใช้ใน 4 ด้าน ได้แก่ 1) ขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์ด้านวิศวกรรมสำหรับตลาดอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม อาทิ ระบบประหยัดพลังงานสำหรับอาคารพาณิชย์ ดาต้าเซ็นเตอร์ โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า 2) พัฒนาผลิตภัณฑ์การป้องกันอัคคีภัย ภายในอาคาร คลังสินค้า ดาต้าเซ็นเตอร์ กลุ่มอุตสาหกรรม Oil & Gas และปิโตรเคมิคอล 3) ขยายช่องทางการตลาดให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และ 4) ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนกิจการ

ทั้งนี้ผู้ถือหุ้น 3 ลำดับแรกหลัง IPO: 1) นายกำธร คุณานพรัตน์ ถือหุ้น 25.00% 2) นายดุษฎี มีชัย ถือหุ้น 25.00% และ 3) ดร. ร่มโพธิ์ สุวรรณิก ถือหุ้น 24.56% โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักสำรองต่างๆ ทุกประเภทที่กฎหมายและข้อบังคับของบริษัทกำหนดไว้ โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เพื่อประโยชน์ของกิจการและผู้ถือหุ้นเป็นหลัก

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานช่วงปี 2565-67 มีรายได้รวม 936.66 ล้านบาท 984.46 ล้านบาท และ 943.22 ล้านบาทตามลำดับ โดยโครงสร้างรายได้ ปี 2567 กลุ่มผลิตภัณฑ์ระบบปรับอากาศและสุขาภิบาลมีสัดส่วนรายได้ 56.73% ผลิตภัณฑ์การป้องกันอัคคีภัยและผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัยมีสัดส่วนรายได้ 34.32% และผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม มีสัดส่วนรายได้ 8.95% ของรายได้จากการขายและบริการ

นอกจากนี้บริษัทฯ มีแบรนด์ของเราเอง (Own Brand) ได้แก่ VALOR ในกลุ่มผลิตภัณฑ์วาวล์ที่ใช้ในระบบปรับอากาศและสุขาภิบาล และอุปกรณ์ตู้ดับเพลิง ZERO Fire ที่เริ่มสร้างการรับรู้มาตั้งแต่ปี 2550 ทำให้สินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาแบรนด์สินค้าของบริษัทฯ (Own Brand) ทำสัดส่วนรายได้ดีขึ้น 21.30%, 20.55% และเพิ่มเป็น 23.61% ตามลำดับ

ขณะที่งวด 6 เดือนแรกปี 2568 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการรวม 395.53 ล้านบาท โครงสร้างรายได้กลุ่มผลิตภัณฑ์ระบบปรับอากาศและสุขาภิบาลมีสัดส่วนรายได้ 64.32% ผลิตภัณฑ์การป้องกันอัคคีภัยและผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัยมีสัดส่วนรายได้ 30.48% และผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม มีสัดส่วนรายได้ 5.19% ของรายได้จากการขายและบริการ

นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า MASTEC มีศักยภาพการเติบโตที่ดีจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมากกว่า 25 ปี ในธุรกิจนำเข้าและจัดหาผลิตภัณฑ์ด้านวิศวกรรมเพื่อจำหน่าย และการให้บริการโซลูชั่นที่ครอบคลุม ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ระบบปรับอากาศและสุขาภิบาล ผลิตภัณฑ์การป้องกันอัคคีภัยและผลิตภัณฑ์ความปลอดภัย และผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม โดยเป็นตัวแทนจำหน่ายให้แก่ซัพพลายเออร์ชั้นนำรวม 30 ราย นอกจากนี้บริษัทมีการว่าจ้างผลิตสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทฯ ได้แก่ VALOR ผลิตภัณฑ์วาล์วที่ใช้ในระบบปรับอากาศและสุขาภิบาล และ ZERO FIRE ซึ่งเป็นอุปกรณ์ตู้ดับเพลิง

นายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน กล่าวว่า MASTEC จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 79 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 26.33 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO

ทั้งนี้การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นไอพีโอที่ 1.45 บาทต่อหุ้น ซึ่งพิจารณาจากอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) เท่ากับ 9.06 เท่า โดยคำนวณจากผลการดำเนินงานในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม  2567 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ซึ่งมีกำไรสุทธิเท่ากับ 46.75  ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทหลังจากการเสนอขายหุ้นไอพีโอในครั้งนี้ ซึ่งเท่ากับ 300 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท จะได้กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.16 บาท หากคิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ก่อนออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนสำหรับการไอพีโอ เท่ากับ 0.21 บาทต่อหุ้น (คำนวณจากจำนวนหุ้น 221 ล้านหุ้น)

บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จํากัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า MASTEC หลังการระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชน (IPO) มีแผนขยายธุรกิจในผลิตภัณฑ์ประหยัดพลังงานสำหรับระบบปรับอากาศในอาคารพาณิชย์ ดาต้าเซ็นเตอร์ โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า อาคารสนามบิน รถไฟฟ้ามวลชน และโรงงานอุตสาหกรรม ผ่านระบบเพิ่มประสิทธิภาพการทำความเย็นและระบายความร้อน

ทั้งนี้คาดว่า MASTEC จะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเฉลี่ย (CAGR) ราว 17% ต่อปี ในช่วงปี 2568–2570 โดยคาดกำไรสุทธิปี 2568 อยู่ที่ 60 ล้านบาท, ปี 2569 อยู่ที่ 70 ล้านบาท และปี 2570 อยู่ที่ 74 ล้านบาท แรงหนุนหลักมาจากยอดขายในกลุ่มผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอนุรักษ์พลังงาน และกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมและพลังงานหมุนเวียน

สำหรับมูลค่าที่เหมาะสมของหุ้น MASTEC บียอนด์ฯ ประเมินไว้ที่ 2.30 บาท ณ สิ้นปี 2569 โดยใช้ค่าอัตราส่วนราคาต่อกำไร (PER) ที่ 10 เท่า ใกล้เคียงกับบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน และเชื่อว่า MASTEC มีศักยภาพในการสร้างส่วนเพิ่มจากคู่แข่งเล็กน้อย เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและสินค้านวัตกรรมเฉพาะทาง

ทั้งนี้ ปัจจัยเสี่ยงหลักของบริษัท ได้แก่ ความเสี่ยงจากการถูกยกเลิกสิทธิ์เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า, ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้, ความเสี่ยงจากสินค้าค้างสต๊อก และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน

โดย บียอนด์ฯ มองว่า MASTEC มีโอกาสเติบโตระยะยาวจากเทรนด์อนุรักษ์พลังงาน และตอบรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มขึ้น โดยมองว่าเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและมีศักยภาพสร้างผลตอบแทนในระยะกลางถึงยาว

บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า MASTEC ดำเนินธุรกิจนำเข้าและจัดหาผลิตภัณฑ์ด้านวิศวกรรมเพื่อจำหน่ายครบวงจร 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก คือ 1) ผลิตภัณฑ์ระบบปรับอากาศและสุขาภิบาล 2) ผลิตภัณฑ์การป้องกันอัคคีภัยและผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัย และ 3) ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ด้วยการให้คำปรึกษา นำเสนอโซลูชั่นและให้บริการด้านวิศวกรรม

โดยมีวัตถุประสงค์ของการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ คือ 1) รองรับธุรกิจในกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะมุ่งเน้นด้านวิศวกรรมสำหรับอนุรักษ์พลังงาน 2) รองรับธุรกิจใน Synergy products ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ป้องกันอัคคีภัย 3) ขยายช่องทาง การตลาดให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และ 4) เงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

บริษัทมีแผนขยายขอบเขตสินค้าครอบคลุมความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยมุ่งเพิ่มผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอุปกรณ์เพิ่มประสิทธิภาพระบบทำความเย็น (Chiller Efficiency Equipment) และกลุ่มผลิตภัณฑ์ป้องกันอัคคีภัย ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความต้องการสูงในอาคารเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม

พร้อมกันนี้ MASTEC ยังอยู่ระหว่างการศึกษาตลาด Building Management System (BMS) ซึ่งเป็นระบบบริหารจัดการอาคารขนาดใหญ่ โดยเน้นการควบคุมและจัดการระบบปรับอากาศ (Chiller Plant System) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคาร ทั้งนี้ การต่อยอดดังกล่าวถือเป็นการขยายจากธุรกิจระบบปรับอากาศเดิมที่บริษัทดำเนินการอยู่

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนพัฒนาองค์กรด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI Software เข้ามาเชื่อมโยงระบบงาน เพื่อเพิ่มความรวดเร็ว ความแม่นยำ และประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ โดยมุ่งยกระดับกระบวนการทำงานให้ได้มาตรฐานสากล ปรับโครงสร้างองค์กรให้ยืดหยุ่นมากขึ้น และจัดทำแผน BCP (Business Continuity Plan) เพื่อรองรับความเสี่ยงในภาวะวิกฤต พร้อมใช้การสำรวจลูกค้าและวิเคราะห์ข้อมูลตลาดเพื่อปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง

สำหรับการประเมินมูลค่าพื้นฐานให้ราคาเหมาะสมของ MASTEC ณ สิ้นปี 2568 ที่ 2.34 บาทต่อหุ้น อิงจากวิธี Relative P/E ที่ 9 เท่า เทียบกับบริษัทในอุตสาหกรรมที่มีลักษณะธุรกิจใกล้เคียง ได้แก่ HARN (ระบบดับเพลิงและปรับอากาศสุขาภิบาล),FIRE (ระบบดับเพลิง) และ PPM (จำหน่ายท่อทองแดง) โดยใช้ P/E ที่ระดับ 9 เท่าใกล้เคียงค่าเฉลี่ยของบริษัทเทียบเคียงคำนวณราคาฐานโดยใช้ EPS ณ สิ้นปี 2568 ที่เท่ากับ 0.26 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ประเมินผลการดำเนินงานของ MASTEC ในช่วงปี 2565–2567 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 936.66 ล้านบาท, 984.46 ล้านบาท และ 943.22 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่งวดไตรมาส 1 ปี 2568 มีรายได้รวม 215.85 ล้านบาท

โดยรายได้ในปี 2566 เติบโตจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการทยอยเริ่มงานโครงการก่อสร้าง แต่ในปี 2567 รายได้ลดลงจากต้นทุนสินค้าบางกลุ่ม โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ระบบปรับอากาศและสุขาภิบาลที่มีต้นทุนสูงขึ้น ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง อย่างไรก็ตามบริษัทสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (%GPM) ให้อยู่ในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่องที่ 24.97%, 28.09%, 28.29% และ 29.20% ตามลำดับ

ในช่วงปี 2565–2567 และไตรมาส 1 ปี 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 29.4 ล้านบาท, 42.3 ล้านบาท, 41.9 ล้านบาท และ 7.2 ล้านบาท ตามลำดับ โดยกำไรขั้นต้นเคลื่อนไหวสอดคล้องกับรายได้

อีกทั้งคาดว่าผลประกอบการปี 2568–2569 จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.รายได้จากผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้า Data Center ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง 2.รายได้จากผลิตภัณฑ์ระบบปรับอากาศและสุขาภิบาล ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท โดยเน้นการขายเข้าโครงการก่อสร้างใหม่ และบริการเปลี่ยนทดแทนระบบเดิมในอาคารเก่า

ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 บริษัทมี Backlog จำนวน 313 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ภายในปีนี้ พร้อมมีงานระหว่างประมูลอีกประมาณ 350 ล้านบาท ได้รับอานิสงส์จากงานโครงการขนาดใหญ่ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 431,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยโกลเบล็กฯ ประมาณการรายได้ของ MASTEC ในปี 2568–2569 ที่ระดับ 1,001.3 ล้านบาท และ 1,071.4 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี (YoY) คาดกำไรสุทธิปี 2568 อยู่ที่ 50.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.4% และปี 2569 อยู่ที่ 53.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน

โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมปี 2569 ที่ 2.28 บาทต่อหุ้น อิงค่าอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีของบริษัทในอุตสาหกรรมใกล้เคียงที่ 12.6 เท่า คำนวณจากกำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2569 ประมาณ 0.18 บาทต่อหุ้น และคาดหวังอัตราเงินปันผลประมาณ 3.5% ต่อปี (คำนวณจากราคาเหมาะสม)

บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ MASTEC เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจจัดหาและนำเข้าผลิตภัณฑ์ทางวิศวกรรมสำหรับงานระบบอาคาร (M&E) โดยเฉพาะระบบปรับอากาศ ระบบสุขาภิบาล ระบบป้องกันอัคคีภัย และผลิตภัณฑ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งบริษัทมีความเชี่ยวชาญในด้านวิศวกรรมระบบมากว่า 25 ปี

โดย MASTEC มีจุดแข็งจากการได้รับสิทธิ์เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้ากว่า 30 แบรนด์จากต่างประเทศ และเป็น Exclusive Distributor จำนวน 6 แบรนด์ พร้อมทั้งมีการพัฒนาแบรนด์ของตนเอง เช่น VALOR และ ZERO FIRE ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพการแข่งขันในตลาดงานระบบอาคารที่มีแนวโน้มขยายตัวสูง

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคาดว่า รายได้ของ MASTEC ปี 2568–2569 จะเติบโตในอัตรา 9–12% ต่อปี จากแรงหนุนของความต้องการอุปกรณ์งานระบบอาคารทั้งในโครงการใหม่และโครงการปรับปรุงอาคารเก่า รวมถึงโอกาสในการต่อยอดรายได้จากผลิตภัณฑ์อนุรักษ์พลังงานที่สอดรับกับเทรนด์พลังงานสะอาด และความต้องการอุปกรณ์ระบบใน ศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ฟิลลิปฯ ประเมินว่า บริษัทมีความพร้อมและศักยภาพในการขยายธุรกิจหลังการระดมทุนจากการเสนอขายหุ้น IPO ซึ่งช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงินรองรับโอกาสการเติบโตในอนาคต โดยประมาณการผลประกอบการปี 2568–2569 เติบโตในช่วง 16–34% ต่อปี จากการขยายตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง

สำหรับมูลค่าพื้นฐานปี 2569 ฟิลลิปฯ ประเมินที่ 2.37 บาทต่อหุ้น อ้างอิงกำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2569 ที่ 0.217 บาทต่อหุ้น และใช้ค่าอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) เฉลี่ยย้อนหลัง 2 ปีของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน เช่น HARN และ FTE ที่ระดับ 10.9 เท่า ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตของบริษัทในฐานะหุ้นเติบโต (Growth Stock) ที่ได้รับอานิสงส์จากเทรนด์พลังงานสะอาดและโครงสร้างพื้นฐานใหม่

Back to top button