
“พบชัย” ชี้ SET ยืนเหนือ 1,335 จุด แนะจับตาเฟด-งบไตรมาส 3 “บจ.”
นายพบชัย ภัทราวิชญ์ มองกรอบ SET Index วันนี้แกว่งตัวกรอบ 1,315-1,335 จุด รับปัจจัยหนุนตามทิศทางตลาดหุ้นเอเชียและงบ DELTA ออกมาดีกว่าคาด พร้อมติดตามงบบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3/68 อย่าง SCC-PTTEP และประชุมเฟดปลายสัปดาห์นี้
นายพบชัย ภัทราวิชญ์ นักกลยุทธ์ตลาดหุ้น ตลาดอนุพันธ์ และสินทรัพย์ดิจิทัล บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (มหาชน) ในกลุ่ม SCBX เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” เมื่อวันที่ 27 ต.ค.68 ว่าช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีประเด็นสำคัญเกิดขึ้นหลายด้าน อาทิ การเจรจาข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลไทย–กัมพูชา ซึ่งหากพิจารณาทิศทางการเคลื่อนไหวของดัชนี SET Index วันนี้คาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียที่ปรับตัวบวกค่อนข้างโดดเด่น อาทิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น และ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ที่ปรับขึ้นประมาณ 2%
สำหรับการปรับตัวเพิ่มขึ้น SET Index คาดว่าได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวกในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชา ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกเกี่ยวกับความร่วมมือและสันติภาพ
อีกปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนให้ตลาดหุ้นไทย คือ การประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะ บริษัท เดลต้า อิเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ซึ่งประกาศงบการเงินหลังปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา 24 ต.ค.68 โดยผลประกอบการไตรมาส 3/68 ของ DELTA ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยมีกำไรสุทธิราว 7,400 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการของตลาดที่คาดไว้ราว 5,700 ล้านบาท ทั้งนี้ กำไรส่วนหนึ่งมาจากรายการพิเศษ แต่หากพิจารณาเฉพาะกำไรจากการดำเนินงานปกติ (Core Profit) ยังอยู่ที่ระดับประมาณ 6,400 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดเช่นกัน นายพบชัย ระบุเพิ่มเติมว่า แนวโน้มผลประกอบการของ DELTA ยังมีทิศทางเชิงบวกในระยะต่อไป และคาดว่าจะเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุน
ส่วนมุมมองทางเทคนิคของ SET Index วันนี้คาดว่าดัชนีมีแนวต้านบริเวณ 1,330-1,335 จุด ซึ่งหากสามารถยืนเหนือระดับดังกล่าวได้อย่างแข็งแกร่ง มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์นี้ไปถึงระดับ 1,345-1,350 จุด ส่วนแนวรับประเมินไว้ที่บริเวณ 1,315 จุด สำหรับการเคลื่อนไหวระหว่างวัน และระหว่างสัปดาห์ ดัชนีมีโอกาสอ่อนตัวลงบ้าง แต่คาดว่ายังสามารถยืนเหนือแนวรับสำคัญที่ 1,305 จุดได้
นอกจากนี้ นายพบชัย กล่าวเพิ่มเติมถึงประเด็นการเจรจาการค้าระหว่างไทย–สหรัฐฯ ยกตัวอย่าง ด้านภาษีศุลกากรไทย ที่อาจยังเสียเปรียบสหรัฐ หลังต้องยกเลิกภาษีนำเข้ามากกว่า 99% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐฯ ขณะที่ทางฝั่งสหรัฐฯ ยังคงอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยไว้ที่ประมาณ 19% อย่างไรก็ตาม ยังถือเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจ ซึ่งอาจส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ปีนี้ขยายตัวอยู่ในกรอบประมาณ 2.0-2.2%
ด้านภาคการส่งออก อย่างสินค้า กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ นั้นไทยมีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากการปรับลดอัตราภาษีนำเข้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในตลาดโลก อีกทั้งยังอาจเป็นปัจจัยดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ให้เข้ามามากขึ้น อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวอาจส่งผลให้รายได้ภาษีของภาครัฐลดลง โดยประเมินว่าอาจกระทบต่อรายได้ภาษีรวมราว 50,000-60,000 ล้านบาทต่อปี
นายพบชัย กล่าวถึงประเด็นการเจรจาส่งออกแร่หายาก (Rare Earth) นักลงทุนหลายคนอาจยังไม่เข้าใจถึงโอกาสและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับไทย โดยในแง่โอกาส ประเทศไทยอาจสามารถส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐฯ ซึ่งช่วยสร้างรายได้อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงที่ต้องพิจารณาหากแร่เหล่านี้เป็นวัตถุดิบสำคัญภายในประเทศ การส่งออกในปริมาณมากอาจจำกัดการใช้ภายในประเทศและกระทบต่ออุปทาน (supply)
สำหรับประเด็นสำคัญที่นักลงทุนต้องติดตามในสัปดาห์นี้ คือ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงกลางสัปดาห์ โดยตลาดส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงราว 0.25% อีกประเด็น คือ การเจรจาระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และจีน ได้แก่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ซึ่งล่าสุดมีสัญญาณเชิงบวกจากการหารือเบื้องต้น
โดยนายสก็อต เซน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า การเจรจาระหว่างสองประเทศมีความคืบหน้าในทิศทางที่ดี และประเด็นการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 100% ได้ถูกถอดออกจากวาระการหารือแล้ว ขณะเดียวกัน จีนเองก็มีท่าทีผ่อนปรนมากขึ้นในหลายประเด็น ทั้งด้านข้อจำกัดการส่งออกซอฟต์แวร์ และมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกต่อบรรยากาศการค้าระหว่างประเทศ
ขณะที่ ประเด็นภายในประเทศแนะนำติดตามการประกาศงบไตรมาส 3/68 ของ บริษัทจดทะเบียน (บจ.) รายใหญ่ ได้แก่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC และ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP สำหรับ SCC ตลาดประเมินว่าผลประกอบการไตรมาส 3/68 อาจอยู่ในภาวะขาดทุน ขณะที่ PTTEP คาดว่าผลประกอบการจะทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และลดลงประมาณ 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนแนวโน้ม SET Index สิ้นปีนี้ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามโดยเฉพาะผลประกอบการไตรมาส 3/68 หากผลประกอบการออกมาดีและนักวิเคราะห์ปรับประมาณการราคาเป้าหมายของหุ้นต่าง ๆ ดัชนีอาจเข้าใกล้ระดับ 1,400 จุดได้ เบื้องต้น ดัชนีมีแนวโน้มปรับตัวไปถึง 1,370-1,380 จุด