
ครม. รับทราบ MOU “แรร์เอิร์ธ” ไทย–สหรัฐ รัฐบาลแจงยิบ ย้ำไม่ผูกมัดทางกฎหมาย
“เอกนิติ” นำทีมแถลง ครม. รับทราบบันทึกความเข้าใจ (MOU) ไทย–สหรัฐฯ ว่าด้วยความร่วมมือด้านแร่หายาก ยืนยันไม่ใช่ข้อตกลงผูกพันทางกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (28 ต.ค.68) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้รับทราบกรณีที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านแร่หายาก (Rare Earth Elements) กับสหรัฐอเมริกา ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47
โดยรายงานชี้ว่า บันทึกความเข้าใจดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและขยายห่วงโซ่อุปทาน การค้า และการลงทุนในอุตสาหกรรมแร่หายาก ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการสำรวจ แปรรูป กลั่น รีไซเคิล การกู้คืน การดูแลรักษา ตลอดจนการสร้างมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมดังกล่าว
นายเอกนิติ ยืนยันว่า MOU ฉบับนี้ไม่ใช่ข้อตกลงทางกฎหมาย แต่เป็นกรอบ “ความเข้าใจร่วม” เพื่อพัฒนาห่วงโซ่แร่หายาก สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ตลาดที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และปลอดภัย พร้อมส่งเสริมห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์พิเศษเฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่ไทยสามารถดำเนินการกับประเทศใดก็ได้
ขอบเขตของความร่วมมือภายใต้ MOU ครอบคลุมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ และความเชี่ยวชาญทางเทคนิคเกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแร่ของไทย รวมถึงมีกลไกให้เจ้าหน้าที่ภาคีประเทศต่าง ๆ สามารถจัดประชุมเชิงปฏิบัติการหรือสัมมนาด้านวิทยาศาสตร์ได้
นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการปรับปรุงระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น การออกใบอนุญาต การลดขั้นตอนเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน และการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศภาคี เพื่อคุ้มครองตลาดให้เป็นไปตามกลไกตลาด กำหนดราคาที่เป็นธรรมและมีมาตรฐานสำหรับแร่ที่มีความต้องการสูงในตลาดโลก
สำหรับกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า การลงนาม MOU ดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับการเจรจาภาษีศุลกากรระหว่างไทยกับสหรัฐฯ หรือไม่นั้น นายเอกนิติ ชี้แจงว่า ไทยได้มีโอกาสหารือกับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ในหลายมิติ ซึ่งฝ่ายสหรัฐฯ แสดงท่าทีเปิดกว้างและให้โอกาสประเทศไทยในฐานะประเทศคู่ค้าที่มีความสัมพันธ์ที่ดี
“ปัจจุบันสหรัฐฯ เปิดช่องทางในเอกสารแนบท้าย สามารถให้ประเทศที่สหรัฐมีความสัมพันธ์ที่ดี เจรจาต่อรองเพื่อที่จะสามารถนำสินค้า หรือบริการบางประเภท เพื่อให้ได้รับสิทธิพิเศษในการยกเว้นภาษี 19% กรอบใหญ่ หรือจะลดภาษีในบางส่วนของสินค้าบางรายการ ซึ่งต้องนำมาเจรจาต่อไป เพราะมีรายละเอียดมาก หากไทยสามารถเจรจาตามกรอบดังกล่าวได้จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย” นายเอกนิติ กล่าว
ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ที่ผ่านมาไทยยังไม่มีเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ และยังไม่มีแหล่งที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์ การเซ็น MOU ครั้งนี้จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการส่งเสริมความมั่นคงและความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะในด้านการสำรวจและการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น พลังงานสะอาดและรถยนต์ไฟฟ้า (EV)
นายธนกร กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อตกลงนี้ยังช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่มั่นคงและเอื้อต่อการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เปิดโอกาสให้ไทยได้รับประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนข้อมูล เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อสร้างโอกาสใหม่ในการลงทุน อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย และหากมีการลงทุนใด ๆ เกิดขึ้นจริง ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนอย่างเคร่งครัด
ขณะที่นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา อธิบายว่า ในทางกฎหมายระหว่างประเทศ คำว่า participants หมายถึง “คู่ภาคีที่ร่วมมือดำเนินการเรื่องใดเรื่องหนึ่ง” ซึ่งมีสถานะเบากว่า parties ที่หมายถึง “ภาคีผู้ทำสัญญาผูกพัน”
ทั้งนี้ MOU ดังกล่าวจึงไม่ถือเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญ เพราะไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ และยังต้องดำเนินไปตามหลักกฎหมายภายในของแต่ละประเทศ รวมถึงสอดคล้องกับกรอบขององค์การการค้าโลก (WTO)
“ข้อห่วงกังวลที่เกิดขึ้นขณะนี้ ครม. ได้หารืออย่างละเอียดแล้วเมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา และได้ย้ำชัดว่า หากต่างชาติมาลงทุนในไทยต้องเป็นไปตามกฎหมายไทย ขณะเดียวกัน หากไทยไปลงทุนในสหรัฐฯ ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของสหรัฐฯ เช่นกัน” นายปกรณ์ กล่าว
นอกจากนี้ การลงนาม MOU ดังกล่าวยังสอดคล้องกับการที่ไทยอยู่ระหว่างการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) เพื่อยกระดับมาตรฐานกฎหมายด้านการค้าและการลงทุนของประเทศให้สอดคล้องกับนานาชาติ
นายปกรณ์ ยังชี้แจงประเด็นข้อความ “first opportunity to invest” ที่ถูกหยิบมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า หากอ่านแยกประโยคอาจทำให้เข้าใจผิด แต่ในต้นฉบับจริงระบุว่า “Participants have first opportunity to invest” หมายถึง “การให้เกียรติซึ่งกันและกันในฐานะผู้ร่วมความร่วมมือ” ไม่ได้หมายถึงการได้สิทธิพิเศษเหนือประเทศอื่น
“กฎหมายแร่ของไทยกำหนดชัดว่า การให้สิทธิสัมปทานต้องผ่านการประมูลเสรีและเป็นธรรมตามหลัก WTO ดังนั้นเอกสารนี้ไม่ได้เป็นแต้มต่อหรือให้สิทธิพิเศษแก่ฝ่ายใด แต่เป็นความสัมพันธ์เชิงความร่วมมือปกติ” นายปกรณ์ กล่าว
เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ยังระบุด้วยว่า MOU ฉบับนี้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าสามารถยกเลิกได้ทุกเมื่อโดยไม่กระทบต่อสิ่งที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ปัจจุบันยังไม่มีการเริ่มดำเนินการใด ๆ และหากจะมีการดำเนินการในอนาคต กระทรวงอุตสาหกรรมจะต้องปฏิบัติตามระเบียบและกฎหมายของไทยอย่างเคร่งครัด
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :
“ดร.สนธิ” ห่วง MOU เปิดทางต่างชาติสำรวจ “แรร์เอิร์ธ” อ่าวไทย ชี้ข้อมูลสำรองยังไม่แน่ชัด
“อนุทิน” ยัน MOU “แรร์เอิร์ธ“ ไม่ผูกพันทางกฎหมาย พร้อมยกเลิกหากไทยเสียประโยชน์
