BOI โชว์ลงทุนไทยคึก! 9 เดือนแรกปี 68 พุ่ง 1.37 ล้านล้านบาท หนุนไทยฮับอาเซียน

บีโอไอ เผยยอดเงินลงทุน 9 เดือนแรก ปี 68 ทะยาน 1.37 ล้านล้านบาท เติบโต 94% สะท้อนความเชื่อมั่นไทยศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาคอาเซียน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (29 ต.ค.68) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม–กันยายน) มีการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุน รวม 2,622 โครงการ เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าเงินลงทุนรวม 1,374,533 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 94% สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อประเทศไทย ทั้งในด้านปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ความพร้อมรองรับการลงทุน ศักยภาพการเติบโตในระยะยาว และบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียน

กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงในช่วง 9 เดือนแรกของปี ได้แก่

  1. ดิจิทัลโดยเฉพาะกิจการ Data Center ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ รวมถึงกิจการพัฒนาซอฟต์แวร์ แพลตฟอร์มเพื่อให้บริการดิจิทัล และดิจิทัลคอนเทนต์ มูลค่า 612,768ล้านบาท (119 โครงการ)
  2. อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าเช่น การผลิตแผงวงจรพิมพ์ (PCB), ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ การผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ มูลค่า 184,078ล้านบาท (382 โครงการ)
  3. พลังงานหมุนเวียนเช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และชีวมวล มูลค่า 74,212ล้านบาท (300 โครงการ)
  4. ยานยนต์และชิ้นส่วนเช่น การลงทุนปรับปรุงสายการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ การผลิตยางล้อและชิ้นส่วนรถยนต์ รวมถึงชิ้นส่วนอากาศยาน มูลค่า 70,985ล้านบาท (229 โครงการ)
  5. เกษตรและอาหารเช่น การแปรรูปอาหาร อาหารสัตว์ สารสกัดจากวัตถุดิบทางธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์ยาง และผลิตภัณฑ์จากเศษวัสดุทางการเกษตร มูลค่า 47,200ล้านบาท (228 โครงการ)
  6. ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์รวมทั้งผลิตภัณฑ์พลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม มูลค่า 36,766ล้านบาท (230 โครงการ)
  7. การแพทย์เช่น กิจการโรงพยาบาล ศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง และการผลิตอุปกรณ์การแพทย์ มูลค่า 25,086ล้านบาท (89 โครงการ)
  8. การท่องเที่ยวเช่น กิจการโรงแรม และการสร้างแหล่งท่องเที่ยว มูลค่า 15,902ล้านบาท (21 โครงการ)

ขณะเดียวกัน การลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริม 1,947 โครงการ เพิ่มขึ้น 38% มูลค่าเงินลงทุนรวม 985,337 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยประเทศที่มีมูลค่าการขอรับการส่งเสริมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สิงคโปร์ 359,805 ล้านบาท, ฮ่องกง 237,264 ล้านบาท, จีน 142,887 ล้านบาท, สหราชอาณาจักร 100,295 ล้านบาท และญี่ปุ่น 73,754 ล้านบาท

นายนฤตม์ กล่าวอีกว่า การเพิ่มขึ้นของเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่เกิดจากการลงทุนในกิจการ Data Center ขนาดใหญ่จากสิงคโปร์และสหราชอาณาจักร รวมถึงกิจการผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงานจากฮ่องกง ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยต่อยอดอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง แสดงถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อเศรษฐกิจและการเติบโตของไทยในระยะยาว

ด้านพื้นที่การลงทุน พบว่า มูลค่าเงินลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก มูลค่า 855,228 ล้านบาท จาก 1,431 โครงการ รองลงมาคือ ภาคกลาง 300,300 ล้านบาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 28,560 ล้านบาท ภาคเหนือ 25,940 ล้านบาท ภาคใต้ 24,445 ล้านบาท และภาคตะวันตก 12,664 ล้านบาท

ทั้งนี้ การลงทุนเพื่อยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 มีจำนวน 402 โครงการ เพิ่มขึ้น 49% มูลค่าเงินลงทุนรวม 37,652 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 81% โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนเพื่อยกระดับกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล การปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การนำระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์มาใช้ ตลอดจนการพัฒนาเพื่อประหยัดพลังงาน ใช้พลังงานทดแทน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

สำหรับสถิติการอนุมัติส่งเสริมการลงทุน ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 มีจำนวน 2,413 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 1,114,798 ล้านบาท โดยโครงการเหล่านี้คาดว่าจะมีการใช้วัตถุดิบในประเทศประมาณ 610,000 ล้านบาทต่อปี เกิดการจ้างงานคนไทยกว่า 175,000 ตำแหน่ง และเพิ่มมูลค่าการส่งออกของประเทศมากกว่า 1.4 ล้านล้านบาทต่อปี ขณะที่ในขั้นตอนการออกบัตรส่งเสริม มีจำนวน 2,050 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 947,661 ล้านบาท

นายนฤตม์ กล่าวว่า สถิติการลงทุนในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ แสดงให้เห็นถึงคลื่นการลงทุนที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกิจการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น Data Center และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) และการผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งของซัพพลายเชนให้กับอุตสาหกรรมหลักของไทย ได้แก่ ยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์

การเพิ่มขึ้นของเม็ดเงินลงทุนจะช่วยหนุนให้เกิดการจ้างงานคนไทย การพัฒนาทักษะและเทคโนโลยี การส่งออก รวมถึงการใช้วัตถุดิบในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ บีโอไอจะเร่งผลักดันโครงการสำคัญให้สามารถลงทุนจริงได้เร็วที่สุด ผ่านกลไก Thailand FastPass ภายใต้นโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล เพื่อเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม เลขาธิการบีโอไอ กล่าว

Back to top button