STA แย้มผลงาน Q4 ฟื้นตัว หลัง 9 เดือน โกยรายได้ 8.98 หมื่นล้านบาท

STA คาดไตรมาส 4/68 เริ่มฟื้นตัว หลังไตรมาส 3/68 รายได้จากการขายและบริการ 21,574 ล้านบาท ขณะที่ 9 เดือนแรกโต 7.1% ทำรายได้รวม 86,800.50 ล้านบาท สะท้อนการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มสดใสในช่วงปลายปี


นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ผู้นำธุรกิจยางธรรมชาติครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลกและผู้ผลิตถุงมือยางอันดับหนึ่งของประเทศไทย เปิดเผยว่า คาดการณ์ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ จะเริ่มทยอยฟื้นตัวในไตรมาส 4/2568 จากอุปสงค์ที่ทยอยฟื้นตัว ประกอบกับทิศทางราคายางธรรมชาติคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น หลังความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ มีความชัดเจนมากขึ้น และ EUDR มีแนวโน้มความชัดเจนมากขึ้น และรอข้อสรุปอีกครั้งไม่เกินกลางเดือนธันวาคม 2568 นี้

ขณะเดียวกัน ด้านอุปทานมีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน แม้ว่าสภาพต้นยางจะสมบูรณ์จากปริมาณฝนที่เอื้ออำนวย แต่ปริมาณฝนที่ตกต่อเนื่องได้จำกัดจำนวนวันกรีด นอกจากนี้ ราคาปาล์มน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงยังเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรบางส่วน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศ หันมาโค่นต้นยางพาราเพื่อขยายพื้นที่ปลูกปาล์มแทน

ทั้งนี้ ราคายางแท่ง TSR20 ในตลาด SICOM เดือนตุลาคม 2568 เฉลี่ยอยู่ที่ 171.9 เซนต์ต่อกิโลกรัม ทรงตัวในกรอบจำกัดจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและนโยบายการค้าโลก

ด้านผลประกอบการ จากภาพรวมเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ จากนโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ (US Reciprocal Tariff) ภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ยังมีความ ไม่แน่นอนในส่วนของรายละเอียดอัตราภาษีในแต่ละประเทศ รวมถึงนโยบายภายใต้ Section 232 และแนวทางจัดการสินค้าสวมสิทธิ์หรือการส่งผ่านประเทศที่ 3 (Transshipment) ทำให้ผู้ผลิตยางล้อและผู้ผลิตสินค้าปลายน้ำในอุตสาหกรรมยางธรรมชาติดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง ส่วนหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากต้นทุนภาษีที่อาจเปลี่ยนแปลง ทำให้ความต้องการยางในตลาดปลายทางยังไม่ฟื้นตัว ส่งผลต่อปริมาณการขายยางธรรมชาติของบริษัทฯ ชะลอตัวในไตรมาส 3/2568 โดยมีรายได้จากการขายและบริการ 21,574.00 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 841.90 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรก รายได้จากการขายและบริการยังคงเพิ่มขึ้น 7.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 86,800.50 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิ 940.00 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ สามารถรักษาความแข็งแกร่งทางการเงิน ด้วยกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ที่ 449.4 ล้านบาท และฐานะทางการเงินที่มั่นคง ด้วยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.6 เท่า

นอกจากนี้ บริษัทฯ มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมต่อหน่วยผลิตภัณฑ์ในสโคป 1 และสโคป 2 ร้อยละ 10 ภายในปี 2569 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 โดยมีแผนมุ่งสู่เป้าหมาย อาทิ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint: CFP), ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานของเครื่องจักร, ศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ ฯลฯ

Back to top button