
SCGP ส่งซิก Q4 สดใส รับไฮซีซั่น หนุนดีมานด์ “บรรจุภัณฑ์” พุ่ง พร้อมลุยขยายตลาดอินโด
SCGP มองแนวโน้มธุรกิจไตรมาส 4/68 สดใส รับเข้าสู่ไฮซีซั่น และการผลิตสินค้าเทศกาลปลายปี หนุนดีมานด์บรรจุภัณฑ์พุ่ง พร้อมเดินหน้าขยายตลาดลงทุนในอินโดนีเซีย หวังเพิ่มประสิทธิภาพ
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 10 พ.ย.68 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 953.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.11% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 577.35 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้จากการขาย 30,438 ล้านบาท ลดลง 9% เป็นผลมาจากต้นทุนวัตถุดิบหลักที่ลดลงต่อเนื่อง การจัดการพลังงานและค่าขนส่งที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการเติบโตของธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ในประเทศและในอินโดนีเซีย
สำหรับแนวโน้มธุรกิจในไตรมาส 4/68 ปัจจัยสนับสนุนหลักต่อปริมาณการขายมาจากการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวและภาคบริการซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่น การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการผลิตสินค้าเพื่อรองรับเทศกาลปลายปีและเทศกาลตรุษจีนในช่วงต้นปีถัดไป ทั้งนี้ คาดว่าปริมาณการขายจะเติบโตต่อเนื่องในภาพรวมของไตรมาส แต่จะมีการชะลอตัวเล็กน้อยในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปีตามฤดูกาล ขณะที่ราคาขาย ต้นทุน และอัตรากำไรคาดว่าจะทรงตัวใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า
ด้านกระบวนการวางแผนและกลยุทธ์สำหรับปี 2569 บริษัทมีระบบการจัดทำแผนที่เป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง แบ่งเป็นสองช่วงหลัก ได้แก่ แผนระยะกลาง ซึ่งเริ่มดำเนินการเก็บข้อมูลตั้งแต่เดือนเมษายน และเสนอคณะกรรมการบริษัทเพื่ออนุมัติในเดือนสิงหาคม ครอบคลุมกรอบระยะเวลา 3-5 ปี และแผนประจำปี ซึ่งนำข้อเสนอแนะจากบอร์ดมาพัฒนาเป็นแผนงานประจำปีระหว่างเดือนกันยายนถึงตุลาคม ก่อนนำเสนอแผนการลงทุนและการขยายกำลังการผลิตปี 2569 ให้บอร์ดพิจารณาในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568
ในส่วนของการขยายธุรกิจและการลงทุน บริษัทได้กล่าวถึงบทบาทเชิงกลยุทธ์ของการเข้าซื้อกิจการ MYPACK ในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นโรงงานผลิตกล่องกระดาษขนาดใหญ่ โดยการลงทุนดังกล่าวสอดคล้องกับกลยุทธ์ระยะยาวของ SCGP ในการขยายตลาดและเพิ่มประสิทธิภาพการบูรณาการธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน
ทั้งนี้ การเข้าซื้อกิจการ MYPACK จะช่วยเพิ่มระดับการบูรณาการระหว่างธุรกิจต้นน้ำของ SCGP (โรงงานกระดาษ Fajar) และธุรกิจปลายน้ำของ MYPACK จากเดิม 18% เป็น 26% โดยมีเป้าหมายระยะยาวที่จะขยายสัดส่วนดังกล่าวให้เกินกว่า 50% เช่นเดียวกับที่ดำเนินการอยู่ในประเทศไทยและเวียดนาม
นอกจากนี้ ยังช่วยขยายฐานลูกค้าในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้าของแบรนด์ชั้นนำระดับโลกและระดับประเทศ และเพิ่มศักยภาพการผลิตด้วยเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ทันสมัยของ MYPACK ซึ่งจะสนับสนุนการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

