
IPO ไม่ใช่ ATO
วันก่อนอีฉันทิ้งท้ายบทความด้วยข้อคิดจาก FA มือทอง 2 รายที่ออกมาพูดถึงสถานการณ์ที่ผิดปกติของตลาด IPO ซึ่งทำให้การทำงานลำบากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
วันก่อนอีฉันทิ้งท้ายบทความด้วยข้อคิดจาก FA มือทอง 2 รายที่ออกมาพูดถึงสถานการณ์ที่ผิดปกติของตลาด IPO ซึ่งทำให้การทำงานลำบากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ผนวกกับมีพวกอินฟลูฯ เข้ามาร่วมปั่นกระแส เพื่อเรียกยอดวิวให้กับตัวเองกันเป็นแถว “โมนิก้า” เลยคิดว่า ถึงเวลาที่ต้องนำความจริงมานั่งพูดกันบนโต๊ะเสียที ไม่เช่นนั้นจะทำให้ตลาดหุ้นไทยดูไม่ดีในสายตานักลงทุนมากขึ้นเรื่อย ๆ นะคะ
โดยเฉพาะแนวความคิดหวังรวยวันเทรดถือเป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งหมายความว่า นักลงทุนไม่ได้สนใจรายละเอียดในไฟลิ่งที่เป็นสาระสำคัญเลย เพราะมัวแต่สนใจเฉพาะการขายเปิด ATO เพื่อให้ตัวเองกำไรมากสุด หรือขาดทุนน้อยสุดเท่านั้น ส่งผลให้การเข้าเทรดของหุ้นไอพีโอในช่วงหลัง ๆ มีแต่การขายเปิดทั้งนั้น ซึ่งเป็นบรรยากาศการลงทุนที่ไม่น่าจดจำเอาเสียเลยนะจ๊ะ
สถานการณ์ตรงนี้ทำให้ FA ท้อใจเป็นจำนวนมาก เพราะราคาที่ขายหุ้นไอพีโอมีส่วนลดจากราคาเป้าหมายอย่างน้อย ๆ 30% และถ้ามองในส่วนของ PE ที่เป็นส่วนหนึ่งของการตั้งราคาขายก็ถูกมาก ๆ แต่นักลงทุนกลับไม่ได้มองสาระสำคัญในส่วนนี้เลย จนเป็นเหตุให้ที่ปรึกษาทางการเงินหลายรายชะลอแผนนำหุ้นน้องใหม่เข้า ตลท. ไปอีกอย่างน้อย 4-6 เดือน เพื่อกลับไปวางแผนใหม่นะซี
เนื่องจากปัญหาไอพีโอหลุดจองมันกลายเป็นเรื่องที่กระทบจิตใจผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย โดยเฉพาะเจ้าของที่อุตสาห์ปั้นบริษัทเพื่อให้ได้ตามเกณฑ์ของ ตลท. ไม่ต่ำกว่า 4-5 ปี แต่เมื่อถึงฤกษ์เข้าตลาดหุ้นกลับไม่ได้การตอบรับที่ดี จนนำไปสู่คำพูดเจ้าของหลายรายที่ว่า ถ้านักลงทุนไม่เชื่อมั่นจะจองซื้อทำไม? ซึ่งเป็นเสียงสะท้อนอีกด้านหนึ่งที่ทุกคนควรเปิดใจรับฟังนะจะบอกให้
ปัญหาดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” นึกถึงแนวทางแก้ไขในอดีตขึ้นมาทันที ซึ่งยุคนั้นเป็นการเดินสายให้ความรู้นักลงทุนอย่างเข้มข้น โดยเป็นการผสานความร่วมมือกันทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น ก.ล.ต. ตลท. โบรกฯ และ FA โดยเป็นการเน้นย้ำให้เห็นผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนระยะกลางถึงระยะยาวเป็นหลัก ซึ่งได้การตอบรับที่ดีจากนักลงทุนกลุ่มต่าง ๆ หลังทุกภาคส่วนช่วยกันออกโรงพูดว่า หุ้นน้องใหม่ใหญ่กลางเล็กของไทย “ถูกและดี” (ว่ากันตามความจริง) ไงล่ะคะ
น่าแปลกใจที่วันก่อนดันมีข่าวลือออกมาว่า ก.ล.ต. เกิดอาการบ้าจี้ตามกระแสโซเชียล พร้อมกับให้ชี้แจงเรื่องการถือหุ้นของบริษัทน้องใหม่ที่ปรากฏชื่อ ด.ช. เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 (ถือแบบนี้มา 4-5 ปีแล้ว) “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่ตลกสิ้นดีที่ประเทศไทยคิดกันได้แค่นี้ เพราะเมื่อเจาะลึกลงไปในรายละเอียดจะรู้ได้ทันทีว่า นี่คือโครงสร้างธุรกิจครอบครัว (family business) ซึ่งต้องการส่งไม้ต่อไปยังรุ่นลูกอย่างราบรื่นพะยะค่ะ
ที่สำคัญทุกปิดเทอมพวกเด็กเหล่านี้ต้องเข้าโรงงาน เพื่อไปศึกษาเรื่องซื้อปาล์ม ดูผลผลิตปาล์ม สำรวจลานเทปาล์ม รวมถึงกระบวนการสกัดปาล์ม “โมนิก้า” ถึงอยากให้ทุกคนเข้าใจเรื่อง “ถือหุ้น” กับเรื่อง “บริหาร” (กลุ่มผู้ก่อตั้งยังบริหารงานเหมือนเดิม) มันเป็นคนละเรื่องอย่างชัดเจน และต้องไม่ลืมว่า เด็กน้อยขายหุ้นไม่ได้..ถ้าจะขายต้องให้ผู้ปกครองไปขอศาลเสียก่อน ซึ่งหมายความว่า หุ้นของ 3 กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ถูกล็อกห้ามขายหมดนะจ๊ะ
งานนี้อีฉันไม่ได้อยากให้ใครเชื่อตามอีฉันทุกอย่าง แต่อยากให้ยึดกฎระเบียบเป็นประเด็นสำคัญ ต่อจากนั้นจะมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งว่า สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยผิดเพี้ยนไปจากหลักลงทุนมากเหลือเกิน และหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ตลาดหุ้นจะเฉาตายในไม่ช้า ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้บริษัทไทยหนีไปเข้าตลาดหุ้นต่างประเทศเหมือนบางรายก่อนหน้านี้..อีฉันรู้สึกเสียดายสุด ๆ เลยเจ้าค่ะ
โมนิก้าและทีมงาน