
TIDLOR ย้ำผลงานไตรมาส 4 สดใสรับ “ไฮซีซั่น” ดันสินเชื่อปีนี้โตเกิน 6%
TIDLOR มั่นใจสินเชื่อไตรมาส 4 เร่งตัวเด่น โดยเฉพาะเดือนตุลาคมโตเร็วสุดของปี พร้อมเห็นสัญญาณฟื้นตัวของพอร์ตรถบรรทุก คาดทั้งไตรมาสเติบโตสูงกว่าสามไตรมาสแรก และมองว่าทั้งปี 2568 โตใกล้เคียงปีก่อนที่เติบโต 6.6%
นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,415 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 43 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นับเป็นระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาสต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 มีกำไรสุทธิรวม 3,924 ล้านบาท โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการเติบโตของรายได้ธุรกิจสินเชื่อและธุรกิจนายหน้าประกัน ตลอดจนการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านรายได้ดอกเบี้ยจากธุรกิจสินเชื่อยังเติบโตได้ร้อยละ 5 ขณะที่รายได้จากธุรกิจประกันวินาศภัยปรับตัวลดลงร้อยละ 14 อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนสินเชื่อสุทธิปรับเพิ่มจากระดับร้อยละ 15.64 ในไตรมาสก่อนหน้า มาอยู่ที่ราวร้อยละ 16 สาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพอร์ตสินเชื่อ โดยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์และรถยนต์สี่ล้อเติบโตโดดเด่น ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่าสินเชื่อรถบรรทุกที่ชะลอตัวลงในช่วงสองถึงสามไตรมาสที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวมในงวด 9 เดือนแรกอยู่ที่ร้อยละ 54.8 ถือว่าอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ
ส่วนของธุรกิจสินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2568 บริษัทมีสินเชื่อคงค้างรวมประมาณ 17,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 นับตั้งแต่สิ้นปีที่ผ่านมา หากพิจารณาแยกตามประเภทสินเชื่อจะพบว่า สินเชื่อจำนำทะเบียนรถซึ่งเป็นแกนหลักของธุรกิจยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยขยายตัวร้อยละ 1.6 ไตรมาสต่อไตรมาส ขณะที่สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสองยังคงปรับตัวลดลง ตามนโยบายอนุมัติสินเชื่ออย่างรอบคอบโดยคำนึงถึงมูลค่าหลักประกันและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าอย่างเข้มงวด
ขณะที่ฐานลูกค้าสินเชื่อของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกเติบโตได้ร้อยละ 7 ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของสินเชื่อรวม สะท้อนถึงความสามารถในการขยายฐานลูกค้าที่มีคุณภาพ ขณะเดียวกัน บริษัทได้ปรับราคาประเมินมูลค่ารถยนต์ให้สอดคล้องกับราคาตลาด ส่งผลให้วงเงินสินเชื่อเฉลี่ยต่อรายของลูกค้าแต่ละรายปรับลดลง ส่วนยอดสินเชื่อเฉลี่ยต่อสาขาอยู่ที่ประมาณ 58 ล้านบาท โดยการเติบโตของทั้งพอร์ตสินเชื่อและฐานลูกค้ามาจากทั้งช่องทางสาขากว่า 1,865 แห่งทั่วประเทศ และช่องทางที่ไม่ใช่สาขา โดยเฉพาะบัตรติดล้อ บริการโอนเงิน และสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชันเงินติดล้อ ซึ่งมีปริมาณผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ด้านธุรกิจนายหน้าประกันถือเป็นอีกหนึ่งเสาหลักในการสนับสนุนการเติบโตของบริษัท โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 ยอดเบี้ยประกันวินาศภัยรวมอยู่ราว 7,900 ล้านบาท เติบโตประมาณร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือว่าสูงกว่าการเติบโตเฉลี่ยของตลาดประกันวินาศภัยที่อยู่ราวร้อยละ 3 และสูงกว่าการเติบโตของตลาดประกันรถยนต์ซึ่งอยู่เพียงราวร้อยละ 1 การเติบโตดังกล่าวเป็นผลจากการพัฒนาช่องทางจำหน่ายที่หลากหลาย
ทั้งการขายผ่านพนักงานสาขาภายใต้แบรนด์ประกันติดล้อซึ่งมีใบอนุญาตด้านประกันครบถ้วน การให้บริการผ่านศูนย์บริการลูกค้าประกันหมายเลข 1501 ตลอดจนแพลตฟอร์มด้านเทคโนโลยีประกันภัยที่รองรับการเสนอขายและเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ประกันภัยออนไลน์โดยตรงแก่ลูกค้าและเครือข่ายตัวแทน–นายหน้า
ทั้งนี้ในด้านโครงสร้างเงินทุน บริษัทมีความมั่นคงสูงจากการบริหารแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย ทั้งการกู้ยืมจากสถาบันการเงินภายในประเทศและการออกตราสารหนี้ โดยใช้นโยบายบริหารความสอดคล้องของอายุสินทรัพย์และหนี้สิน ทำให้แม้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในระบบเริ่มปรับตัวลดลง ต้นทุนทางการเงินของบริษัทจะทยอยปรับลดอย่างค่อยเป็นค่อยไป บริษัทมีอันดับความน่าเชื่อถือขององค์กรอยู่ในระดับเอ และอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ในระดับเอพลัส ขณะที่อัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับต่ำประมาณ 2.2 เท่า และหนี้ส่วนใหญ่เป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ ช่วยลดความเสี่ยงด้านการรีไฟแนนซ์และรองรับการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว
ด้านคุณภาพพอร์ตสินเชื่อโดยรวมยังอยู่ในระดับที่ดี โดยอัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ลดลงจากร้อยละ 1.78 ในไตรมาสก่อนหน้า เหลือร้อยละ 1.66 ในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นผลจากการอนุมัติสินเชื่ออย่างรอบคอบ คุณภาพของสินเชื่อปล่อยใหม่ที่อยู่ในระดับดี การติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนผลเชิงบวกจากโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่ช่วยประคองความสามารถในการผ่อนชำระของลูกค้า
ขณะเดียวกันอัตราส่วนเงินสำรองต่อยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ที่ระดับประมาณร้อยละ 284 ซึ่งถือว่าสูงเพียงพอรองรับความเสี่ยง ด้านต้นทุนด้านเครดิตในไตรมาส 3 อยู่ที่ราวร้อยละ 2.2 ลดลงจากระดับ 2.63 ในไตรมาสก่อนหน้า และถือเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบหลายไตรมาส โดยบริษัทประเมินว่าต้นทุนด้านเครดิตในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะปิดที่ประมาณร้อยละ 2.5 และตลอดทั้งปี 2568 จะต่ำกว่าระดับร้อยละ 3 ตามกรอบเป้าหมายที่วางไว้
โดยในช่วง 9 เดือนแรก ผลขาดทุนจากการจำหน่ายรถยึดยังอยู่ในระดับที่ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ บริษัทให้ความสำคัญกับการติดตามสถานการณ์และผลกระทบจากโครงการช่วยเหลือหนี้ของระบบสถาบันการเงิน ซึ่งอาจทำให้ในปีหน้ามีการกลับมาทวงถามหนี้หรือยึดรถเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ในปัจจุบันผลกระทบต่อพอร์ตสินเชื่อของเงินติดล้อยังมีจำกัด
สำหรับแนวโน้มในไตรมาส 4 บริษัทระบุว่า จากข้อมูลที่เห็นในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สินเชื่อมีการเร่งตัวอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับสามไตรมาสแรก โดยเดือนตุลาคมเป็นเดือนที่พอร์ตสินเชื่อเติบโตเร็วที่สุดของปี และยังเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้นของพอร์ตสินเชื่อรถบรรทุกซึ่งในช่วงสองปีที่ผ่านมามีการเติบโตช้าที่สุด บริษัทจึงคาดว่าการเติบโตของสินเชื่อในไตรมาส 4 จะสูงกว่าสามไตรมาสแรก ขณะที่การเติบโตของสินเชื่อทั้งปี 2568 น่าจะใกล้เคียงกับปีก่อนที่เติบโตประมาณร้อยละ 6.6
นายปิยะศักดิ์ ประเมินว่า ภาพรวมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมสินเชื่อรายย่อยในปี 2569 น่าจะมีลักษณะใกล้เคียงกับปี 2568 โดยคาดว่าอุตสาหกรรมจะเติบโตไม่เกินร้อยละ 2 และมีแนวโน้มที่จะเห็นความแตกต่างชัดเจนระหว่างผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่มีฐานทุนแข็งแรงและเครือข่ายครอบคลุมซึ่งยังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง กับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กบางรายที่จำเป็นต้องปรับตัวอย่างจริงจัง ในมุมมองของบริษัท สินเชื่อจำนำทะเบียนทั้งรถจักรยานยนต์และรถยนต์สี่ล้อยังมีโอกาสเติบโตแตะระดับตัวเลขสองหลัก ขณะที่สินเชื่อรถบรรทุกยังต้องติดตามข้อมูลและภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจมากกว่าสินเชื่อประเภทอื่น
ด้านการบริหารเครือข่ายสาขา บริษัทใช้เงินลงทุนต่อสาขาไม่ถึง 500,000 บาทต่อแห่ง โดยมีการใช้ข้อมูลเชิงลึกและเครื่องมือวิเคราะห์เพื่อเลือกทำเลควบคู่กับการประเมินความพร้อมของบุคลากรในพื้นที่ ปัจจุบันสาขาในเมืองหลักและอำเภอเมืองส่วนใหญ่ครอบคลุมครบถ้วนแล้ว การขยายสาขาใหม่จึงมุ่งเพิ่มความหนาแน่นในเมืองใหญ่ และขยายไปสู่อำเภอหรือเขตตำบลที่ยังไม่มีสาขาเพื่อเข้าถึงลูกค้าในระดับชุมชนมากยิ่งขึ้น
สำหรับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาและสถานการณ์อุทกภัย บริษัทชี้แจงว่า แม้จะเห็นผลกระทบบางส่วน โดยเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อรถบรรทุก แต่สัดส่วนโดยรวมยังอยู่ในระดับที่น้อย และบริษัทมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าเฉพาะรายอยู่แล้วอย่างต่อเนื่อง จึงไม่กระทบต่อคุณภาพพอร์ตในภาพรวมอย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนของกลยุทธ์การตลาด บริษัทได้เปิดตัวแคมเปญลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ โดยลดจากระดับเพดานร้อยละ 24 เหลือประมาณร้อยละ 19 ระหว่างวันที่ 20 ตุลาคม ถึงสิ้นปี 2568 ครอบคลุมเฉพาะลูกค้าสินเชื่อรถยนต์สี่ล้อ ทั้งนี้ บริษัทชี้แจงว่า ผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนของพอร์ตสินเชื่อรวมจะมีจำกัด เนื่องจากยอดสินเชื่อใหม่ที่ปล่อยในหนึ่งไตรมาสอยู่เพียงระดับหมื่นกว่าล้านบาท ขณะที่พอร์ตสินเชื่อรวมอยู่ในระดับแสนกว่าล้านบาท และแคมเปญดังกล่าวมีระยะเวลาจำกัดเพียงสามเดือน
สาเหตุที่เลือกมุ่งเน้นลดดอกเบี้ยในกลุ่มรถยนต์สี่ล้อ เนื่องจากเป็นพอร์ตที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของบริษัท จึงสร้างผลเชิงบวกต่อการเติบโตได้ดีที่สุด ส่วนสินเชื่อรถบรรทุกนั้น บริษัทพร้อมพิจารณาเป็นกรณีไปหากพบลูกค้าที่มีคุณภาพ แต่ยังไม่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเป็นทางการ ขณะที่สินเชื่อรถจักรยานยนต์ บริษัทประเมินว่าลูกค้ามีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยน้อยกว่า เพราะหากไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ มักต้องพึ่งพาแหล่งเงินนอกระบบซึ่งคิดดอกเบี้ยสูงกว่ามาก ทำให้แคมเปญลดดอกเบี้ยไม่ใช่ปัจจัยหลักในการตัดสินใจของกลุ่มลูกค้าดังกล่าว
นายปิยะศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ผลการดำเนินงานปี 2568 ของบริษัทในทุกมิติเป็นไปตามแผน ทั้งด้านการเติบโตของรายได้ การขยายพอร์ตสินเชื่อ คุณภาพหนี้ ต้นทุนด้านเครดิต และการบริหารค่าใช้จ่าย แม้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจจะท้าทายกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่บริษัทอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตต่อเนื่อง โดยคาดว่ารายได้รวมในไตรมาส 4 จะเติบโตดีกว่าสามไตรมาสแรก และยังมั่นใจว่าสิ้นปี 2568 อัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จะยังต่ำกว่าร้อยละ 2 และต้นทุนด้านเครดิตจะต่ำกว่าร้อยละ 3 ตามกรอบเป้าหมายที่วางไว้

