“ชัยยศ” ลุ้น SET รับฟันด์โฟลว์ไหลเข้า พ่วงมาตรการ TISA ดันแบงก์-เก็งเฟดลดดอกเบี้ย

“ชัยยศ จิวางกูร” มองแรงซื้อจากต่างชาติหนุนตลาด จากคาดหวังมาตรการ TISA หนุนลงทุนหุ้นปันผลระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มแบงก์เด่นสุด พ่วงเก็งกำไรเฟดลดดอกเบี้ย 10 ธ.ค.นี้ ขณะที่ AOT ได้ Sentiment บวกจากการปิดดีลสัมปทาน King Power และแนวโน้มปรับขึ้น PSC


นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS เปิดเผยในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.68 ว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาได้แรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งไหลเข้าตลาดอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ในขณะเดียวกันแรงซื้อจาก Pop Trade (Proprietary Trading) ซึ่งเป็นการลงทุนในระยะสั้นๆ ที่ถือไว้ไม่น่าจะเกิน 1 อาทิตย์ นั้นอาจจะคาดหวังได้ยากกว่าต้องจับตาว่าเม็ดเงินนักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาต่อเนื่องอีกวันหรือไม่

โดยปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดและเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเด็นหลัก ได่แก่

1.มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุน โดยมีข่าวว่ากระทรวงการคลังอาจพิจารณามาตรการ TISA ที่คล้ายกับNISA ของญี่ปุ่น ซึ่งจะอนุญาตให้นักลงทุนลงทุนในหุ้นปันผลโดยตรง (ไม่ต้องผ่านกองทุน) และสามารถนำเงินลงทุนนั้นไปลดหย่อนภาษีได้ หากถือลงทุนในระยะยาว

โดยผลกระทบต่อกลุ่มหุ้นมาตรการนี้คาดว่าจะให้ประโยชน์แก่กลุ่มหุ้นที่มีเงินปันผลสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มธนาคาร (Bank) ซึ่งในช่วงสองวันที่ผ่านมามีผลงานที่ค่อนข้าง Outperform กลุ่มธนาคารถือว่าโดดเด่นมากในขณะนี้โดยมีอัตราเงินปันผลสูงถึง 6% ขึ้นไปเกือบทุกตัวในหุ้น SET50 หากเทียบกับกลุ่ม ICT เช่น ADVANC ที่ปันผลประมาณ 4% กลุ่มธนาคารจึงน่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้มากกว่า

อย่างไรก็ตามมองว่ามาตรการนี้อาจไม่ดึงดูด Fund Flow เข้ามาเป็นจำนวนมากในระดับพันล้านหรือหลายพันล้าน แต่ก็ถือว่าดีต่อตลาดหุ้นไทย เพราะจะช่วยลดความผันผวนของตลาดได้ เนื่องจากนักลงทุนที่เข้ามาซื้อกลุ่มหุ้นเหล่านี้จะเน้นการลงทุนระยะยาวเพื่อรับทั้งเงินปันผลและสิทธิลดหย่อนภาษี

2.การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) การประชุมของเฟดเพื่อพิจารณาการลดดอกเบี้ย ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 10 ธ.ค.นี้ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติไหลเข้า

ส่วนความเสี่ยงด้านนโยบายการเงินในประเทศ หากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยวันที่ 17 ธันวาคม จะกดดันส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ของธนาคารในเชิงจิตวิทยา อย่างไรก็ตามผลกำไรที่ดีขึ้นของกลุ่มธนาคารในไตรมาส 3 นั้น ไม่ได้มาจากรายได้สินเชื่อ เป็นส่วนใหญ่ แต่มาจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) เช่น การขายกองทุนหรือเงินลงทุน ซึ่งมีการเร่งตัวขึ้นมามาก ดังนั้นแม้การลดดอกเบี้ยจะกดดัน และอาจสร้างจิตวิทยาเชิงลบในระยะสั้น แต่ก็ไม่น่าจะกดดันผลกำไรโดยรวมมากนักทำให้เชื่อว่ากำไรอาจยังคงทรงตัวได้

ส่วนประเด็นของพ.ร.บ.โลกร้อนมองเป็น “โอกาสใหม่” ของตลาดหุ้นไทย เนื่องจากไทยมีฐานอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจำนวนมาก โดยเฉพาะสินค้าเกษตร แต่ต้องจับตาดูว่ามาตรการที่ออกมาจะมีเงื่อนไขหรือการสนับสนุนอุตสาหกรรมจุดใดเพิ่มเติม และ Fund Flow ต่างชาติจะสนใจในกลุ่ม Clean Sector เหล่านี้หรือไม่

ส่วนกรณีเฉพาะของ AOT มีความชัดเจนในประเด็นสำคัญ 2 เรื่อง 1.การแก้ไขสัญญากับ King Power การเจรจาแก้ไขสัญญาถือเป็น Sentiment เชิงบวก เนื่องจากผลที่ออกมาถือว่าใกล้เคียงกับที่ บล.กรุงศรี มองไว้ที่ประมาณ 6,000 ล้านบาท การตกลงกันได้ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะช่วยลดความเสี่ยงจากการยกเลิกสัญญาและต้องหาเจ้าใหม่ ซึ่งทำได้ยาก

2.การปรับขึ้นค่าธรรมเนียมผู้โดยสาร (PSC) บล.กรุงศรี มองว่า Base Case ในการปรับขึ้น PSC อยู่ที่ประมาณ 750 บาท (ต่อหัว) ซึ่งหากเป็นไปตามนี้ Target Price จะอยู่ที่ประมาณ 40-41 บาท ทั้งนี้หากตัวเลขจริงออกมาเกินกว่า 750 บาท ก็มีโอกาสที่จะต้องปรับ Target Price เพิ่มขึ้น แม้ว่าทั้งสองเรื่องจะทำให้ Sentiment ของ AOT เปลี่ยนไปในทางที่ดี แต่เนื่องจากราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นไปในระดับหนึ่งแล้ว จึงควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุน

Back to top button