
อนาคต VS ความเสี่ยงธุรกิจบริการไอที
ในระยะ 3 ปี (2568-2570) แนวโน้มธุรกิจบริการไอทียังมีความน่าสนใจ เพราะรายได้ยังส่งสัญญาณการเติบโตต่อเนื่องในอัตราไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี
เส้นทางนักลงทุน
ในระยะ 3 ปี (2568-2570) แนวโน้มธุรกิจบริการไอทียังมีความน่าสนใจ เพราะรายได้ยังส่งสัญญาณการเติบโตต่อเนื่องในอัตราไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี
สำหรับรายได้ของธุรกิจบริการไอทีนี้จะประกอบด้วยรายได้จากผู้ประกอบการ 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจัดจำหน่าย 2. ผู้จัดจำหน่ายซอฟต์แวร์ และ 3. System Integrator (SI) ซึ่งเป็นธุรกิจให้บริการเกี่ยวกับการให้คำปรึกษา ออกแบบ ติดตั้ง และปรับเปลี่ยนซอฟต์แวร์ และ IT Solution ตามความต้องการของลูกค้า
ข้อมูลจากศูนย์ Krungthai COMPASS ระบุว่า ในช่วงปี 2568-2570 รายได้รวมของธุรกิจนี้คาดว่าจะเติบโต 5.3%, 5.8% และ 6.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ตามลำดับ โดยในปี 2567 เพิ่มขึ้นราว 8.5%
ทั้งนี้ในส่วนของรายได้จากธุรกิจ System Integrator มีสัดส่วนราว 60% ของรายได้ทั้งหมด คาดว่าในช่วงปี 2568-2570 จะเติบโต 4.4%, 5% และ 5.8% จากปีก่อน เป็นการเติบโตจากปี 2567 ที่เพิ่มขึ้น 8.6%
ขณะที่รายได้จากการจัดจำหน่ายซอฟต์แวร์ มีสัดส่วนราว 40% ของรายได้ทั้งหมดในช่วงปี 2568-2570 จะเพิ่มขึ้น 6.9%, 7.1% และ 7.5% จากปี 2567 ที่เพิ่มขึ้น 8.3% โดยคาดว่ารายได้รวมของธุรกิจจะได้รับอานิสงส์จากแผนพัฒนาระบบคลาวด์กลาง และการลงทุนด้านไอทีของภาครัฐ
เช่น ระบบ Cybersecurity และระบบบริการ AI ส่งผลให้ความต้องการใช้บริการ Cloud Solution, Cybersecurity Solution และ AI Solution รวมทั้งใช้ซอฟต์แวร์ IT Management ประเภท Storage Management ของภาครัฐที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ผู้ประกอบการ SMEs ยังมีแนวโน้มที่จะใช้ซอฟต์แวร์ทางธุรกิจ เช่น ERP มากขึ้น โดยเฉพาะ Analytics module เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดจำหน่ายสินค้าและให้บริการ
ส่วนผู้ประกอบการขนาดใหญ่และสถาบันการเงินมีแนวโน้มที่จะใช้บริการซอฟต์แวร์ IT Management ประเภท API Management มากขึ้นเพื่อรองรับการให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัล
สำหรับหน่วยงานภาครัฐคาดว่าจะ ใช้ IT Management ประเภท Storage Management มากขึ้นเพื่อรองรับการใช้บริการระบบ Cloud ที่เพิ่มขึ้น
ปัจจัยหนุนจากภาคเอกชนที่มีแผนลงทุนด้านระบบไอทีในโครงการเวอร์ชวลแบงก์ (Virtual Bank) ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ถึงครึ่งแรกของปี 2569 และให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น จะส่งผลให้ความต้องการใช้บริการ Data Analytics Solution, Cloud Solution และ Cybersecurity Solution รวมทั้งใช้ซอฟต์แวร์ IT Management ประเภท API Management เพิ่มขึ้น
นอกจากปัจจัยที่กล่าวมาแล้ว ธุรกิจ SI ยังได้รับอานิสงส์จากความต้องการใช้บริการติดตั้งระบบเครือข่ายจากผู้ให้บริการ Data Center ที่จะลงทุนในช่วงปี 2567-2571 ด้วยเม็ดเงินลงทุนราว 3.2 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้กับธุรกิจ SI ราว 3.5 หมื่นล้านบาท
อัตรากำไรของธุรกิจนี้ในช่วงปี 2568-2570 คาดว่าสูงกว่าปี 2567 จากการเพิ่มขึ้นของความต้องการใช้บริการ IT Solution ที่มีอัตรากำไรสูง โดยได้รับแรงหนุนจากโครงการ Virtual Bank ที่คาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนด้านไอทีเข้ามาตั้งแต่ครึ่งหลังปี 2568 ด้วยงบประมาณ 3.0-5.7 พันล้านบาท
รวมทั้งยังได้รับอานิสงส์จากความต้องการใช้บริการพัฒนา Application, Cloud Solution และ Cybersecurity Solution ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยหนุนอัตรากำไรของธุรกิจนี้
ธุรกิจนี้ต้องเผชิญความเสี่ยงด้านการแข่งขันที่สูง และความเสี่ยงต่าง ๆ อาทิ การขาดแคลนบุคลากรด้านไอที การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และการเพิกถอน หรือไม่ต่อสัญญาการเป็นตัวแทนจำหน่าย
ต้นทุนสินค้า บริการ และแรงงานเป็นต้นทุนหลักของธุรกิจบริการไอที มีสัดส่วนราว 49% และ 39% ตามลำดับ โดยอัตราค่าบริการของธุรกิจส่วนใหญ่ถูกกำหนดด้วยต้นทุนในการให้บริการทั้งหมดบวกส่วนต่างกำไร ซึ่งขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของโครงการ
การแข่งขันในธุรกิจบริการไอทียังมีแนวโน้มเข้มข้นขึ้นหลังมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาในธุรกิจมากขึ้น สะท้อนได้จากจำนวนผู้ประกอบการในธุรกิจเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 8.6% ในช่วงปี 2562-2567
บริษัทยักษ์ใหญ่ในไทยหลายแห่งได้จัดตั้งบริษัทที่ให้บริการด้าน IT Solution เพื่อให้บริการแก่บริษัทในเครือ เช่น PTT, TCC,Toyota และ CPF ธุรกิจนี้จึงมีโอกาสที่จะได้รับงานจากบริษัทเหล่านั้นน้อยลง
และผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ชั้นนำของโลกมีแนวโน้มใช้เกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกคู่ค้าตามหลัก ESG ที่เข้มข้นขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบธุรกิจบริการไอทีของไทยอาจต้องดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามแนวทางดังกล่าว เช่น การให้บริการลูกค้าด้วยการเลือกระบบ Data Center ที่ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้ยังคงได้รับการคัดเลือกเป็นตัวแทนจำหน่ายต่อไป