
BTS-BEM ดีดบวก! รัฐชงครม.พรุ่งนี้ เร่งซื้อคืนสัมปทานทุกสาย ดันค่าโดยสารเหมาจ่าย 40 บาท
BTS-BEM ดีดบวก! รับ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รมว.คมนาคม เตรียมเสนอ ครม. อนุมัติหลักการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าจากเอกชนพรุ่งนี้ รองรับนโยบายค่าโดยสารร่วมเหมาจ่าย 40 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ณ เวลา 10:41 น. อยู่ที่ระดับ 2.54 บาท บวก 0.04 บาท หรือ 1.60% ราคาสูงสุด 2.56 บาท ราคาต่ำสุด 2.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 41.73 ล้านบาท
ด้านบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ณ เวลา 10:44 น. อยู่ที่ระดับ 5.45 บาท ราคาหุ้นไม่เปลี่ยนแปลง ราคาสูงสุด 5.50 บาท ราคาต่ำสุด 5.40 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 8.51 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันพรุ่งนี้ (9 ธ.ค. 2568) กระทรวงคมนาคม เตรียมเสนอครม.พิจารณาขออนุมัติหลักการ Single Ownership โดยให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เป็นหน่วยงานหลักเพียงหน่วยงานเดียวในการกำกับดูแล บริหารนโยบายค่าโดยสารและระบบตั๋วร่วมของประเทศ เพื่อให้ทุกโครงการรถไฟฟ้าอยู่ภายใต้นโยบายเดียวกันอย่างมีเอกภาพ และสามารถกำหนดค่าโดยสารที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้
ประเด็นสำคัญคือ หากครม.เห็นชอบหลักการดังกล่าว จะเปิดทางไปสู่การ “ซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้า” จากเอกชนที่ถือสัญญาในรูปแบบสัมปทานแบ่งรายได้แก่รัฐ (PPP Net Cost) เป็นเงื่อนไขจำเป็นในการรวมศูนย์อำนาจการบริหารและเพื่อให้เกิด “บัตรโดยสารร่วม-ค่าโดยสารร่วม” ในอนาคตอย่างแท้จริง
สำหรับรถไฟฟ้าที่อยู่ในรูปแบบสัมปทาน PPP Net Cost ที่เข้าข่ายซื้อคืนสัมปทาน ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ที่มีบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เป็นผู้รับสัมปทานจาก รฟม., รถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพู ที่มีบริษัทในเครือบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เป็นผู้รับสัมปทานจากรฟม. และสายสีเขียวส่วนหลัก (หมอชิต-อ่อนนุช และสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน) ที่มี BTS รับสัมปทานจากกรุงเทพมหานคร (กทม.)
นายพิพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางรัฐบาลได้เจรจาแนวทาง Single Ownership กับเอกชนทั้ง 2 ราย คือ BEM และ BTS ในเบื้องต้นแล้ว ทั้ง 2 รายไม่ขัดข้องหากต้องขายคืนสัมปทานรถไฟฟ้าแก่รัฐ เพียงแต่ต้องเจรจาให้ได้ราคาที่เหมาะสม ส่วนกทม.นั้น ก็เห็นด้วยกับหลักการ Single Ownership โดยโอนโครงการรถไฟฟ้าทุกสายทางมาให้ รฟม.กำกับดูแล เพียงแต่รฟม.จะต้องมีการชำระคืนเงินบางส่วนที่ กทม.เคยใช้ดูแลอุดหนุนรถไฟฟ้าในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งต้องมีการพิจารณาร่วมกันเช่นกันว่าควรเป็นเงินเท่าไหร่ ดังนั้นการโอนโครงการรถไฟฟ้ามายังรฟม.จะเกิดขึ้นได้ ต้องหลังจากที่การเจรจาเงื่อนไขทางการเงินของทุกสายทางได้ข้อยุติทั้งหมดแล้ว
โดยการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชนครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา ทางกระทรวงการคลังได้รับหน้าที่ ประสานร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.), รฟม.และกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เพื่อพิจารณาวิธีการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าจากเอกชนผู้รับสัมปทานที่ปัจจุบันอยู่ในลักษณะ PPP Net Cost โดยไม่ให้กระทบเพดานหนี้สาธารณะของรัฐบาล ซึ่งกระทรวงการคลังจะเป็นผู้รับผิดชอบหาแนวทางว่าควรใช้เครื่องมือทางการเงินอย่างไรจึงจะเหมาะสมที่สุด
จากการหารือร่วมกับนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เบื้องต้นเห็นว่ามีความเป็นไปได้ 2 แนวทางคือ 1) การระดมทุนโดยการออกพันธบัตร (Bond) ร่วมกับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFF Fund) เพื่อระดมทุนมาซื้อสัมปทานคืนจากเอกชน
2) รัฐแก้สัญญาสัมปทานจากแบ่งรายได้แก่รัฐ (PPP Net Cost) เป็นแบบจ้างวิ่งบริการ (PPP Gross Cost) และให้สัมปทานเอกชนรายเดิม 30 ปี (รัฐจ่ายค่าจ้างเดินรถรายปี) เพื่อให้เอกชนมีหลักทรัพย์สามารถนำไปกู้ยืมเงินกับสถาบันการเงินมาก่อนระหว่างที่รอรัฐชำระเงินซื้อคืน หรือหากเอกชนมีเงินมากพอก็อาจไม่กู้ก็ได้ และรอรัฐชำระเงินซื้อคืนสัมปทานให้ภายหลังพร้อมดอกเบี้ย แต่ต้องเป็นอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายด้วย
ดังนั้นสิ่งที่รัฐต้องจ่ายแก่เอกชน หากการเจรจาซื้อคืนสัมปทานสำเร็จคือ ค่าจ้างเดินรถที่ต้องชำระเป็นรายปีจนกว่าจะครบสัมปทาน 30 ปี และการชำระเงินซื้อสัมปทานแก่เอกชน แต่รัฐจะเริ่มชำระค่าซื้อสัมปทานได้เมื่อไหร่และแต่ละสายทางมีราคาขายคืนรัฐเท่าไหร่นั้นยังตอบไม่ได้ เพราะต้องขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่าง 2 ฝ่าย (รัฐกับเอกชน)
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าเพื่อใช้ค่าโดยสารร่วมนั้น จะไม่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดปัจจุบันแน่นอน ดังนั้นในรัฐบาลชุดนี้ประชาชนจะได้ใช้บริการรถไฟฟ้าแบบเหมาจ่ายรายวัน 40 บาทแค่ 2 สายทาง คือ สายสีม่วง (เหนือ) เตาปูน-คลองบางไผ่ และสายสีแดง ตลิ่งชัน-บางซื่อ-รังสิต เท่านั้น ส่วนสายทางอื่น ๆ ก็ต้องรอดูว่ารัฐบาลชุดใหม่เข้ามาจะสานต่อแนวทาง Single Ownership ของรัฐบาลชุดนี้หรือไม่
“ถือว่าเราเสนอครม.ขออนุมัติหลักการเพื่อสตาร์ทไว้ให้ก่อน แต่คงทำไม่ทันในรัฐบาลชุดนี้แน่นอน หากรัฐบาลชุดใหม่มาแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์กับประชาชน สามารถทำต่อเรื่องที่เราเริ่มไว้ให้ได้เลย แต่หากไม่ทำต่อก็รื้อทิ้งไป” นายพิพัฒน์ กล่าว
:แก้สัญญาสัมปทานใหม่
นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายการกำหนดอัตราค่าโดยสาร รฟม.ได้นำเสนอผลการศึกษาแนวทางการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าที่มีความเป็นไปได้เบื้องต้นว่า เริ่มแรกรัฐต้องเจรจากับเอกชนเพื่อแก้สัญญาสัมปทานจากแบ่งรายได้แก่รัฐ (PPP Net Cost) เป็นแบบจ้างวิ่งบริการ (PPP Gross Cost) ก่อน
หลังจากนั้นรัฐให้สัมปทาน Gross Cost แก่เอกชนรายเดิมเป็นเวลา 30 ปี โดยรัฐชำระค่าจ้างรายปีแบบรถไฟฟ้าสายสีม่วงเหนือ ซึ่งปัจจุบัน รฟม.ว่าจ้าง BEM เดินรถที่ค่าจ้างประมาณ 1,500 ล้านบาทต่อปี (คิดค่าจ้างตามระยะทาง) โดยสายทางอื่น ๆ ก็จะว่าจ้างแบบคิดตามระยะทางเช่นเดียวกับสายสีม่วงเหนือ
ส่วนค่าโดยสารร่วมจะเริ่มต้นจัดเก็บที่ 40 บาท (เหมาจ่ายรายวันทุกสายทาง) และจะปรับขึ้นทุก 2 ปี 10 บาท ดังนั้นทุก 2 ปีถัดไปค่าโดยสารจะปรับขึ้น เป็น 50 บาท 60 บาท และ 70 บาทตามลำดับ และเมื่อค่าโดยสารปรับขึ้นจนถึง 80 บาทแล้ว ก็จะมีการปรับขึ้นทุก ๆ ปี ปีละ 2 บาท โดยตามหลักการนี้ประเมินว่ารัฐจะเริ่มมีรายได้เป็นบวกในปีที่ 12 นับจากการแก้สัญญาเป็น PPP Gross Cost และจะเริ่มจ่ายค่าซื้อคืนสัมปทานแก่เอกชนได้ จากนั้นในปีที่ 23 รัฐจะเริ่มมีกำไรจากการให้บริการ
อย่างไรก็ตาม ทางคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายการกำหนดอัตราค่าโดยสารฯ เห็นว่า ค่าโดยสารที่เริ่มจัดเก็บแบบเหมาจ่ายรายวันทุกสายทางที่ 40 บาท เป็นอัตราที่ต่ำเกินไป เพราะต้องจัดเก็บเป็นเวลา 2 ปี จึงจะได้ปรับขึ้นอีกครั้งเป็น 50 บาท ขณะที่รัฐต้องจ่ายค่าจ้างเดินรถแต่ละสายทางแก่เอกชนทุกปี ซึ่งจะกลายเป็นภาระงบประมาณที่รัฐต้องอุดหนุนสูงมาก ดังนั้นจึงให้ รฟม.ไปพิจารณาเรื่องอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเร่งคลอดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ออกมาช่วงนี้ ถือเป็นการทิ้งทวน ก่อนรัฐบาลจะมีการยุบสภาเร็ว ๆ นี้ เพื่อใช้เป็นนโยบายการปูทางสำหรับการหาเสียงของพรรคภูมิใจไทย สำหรับการเลือกตั้งช่วงต้นปีหน้าต่อไป
สอดคล้องกับแหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า มีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลอาจมีการประกาศยุบสภาวันที่ 12 ธ.ค. 2568 นี้ ดังนั้นหากเกิดขึ้นการยุบสภาวันดังกล่าวจริง นั่นเท่ากับว่าการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 9 ธ.ค. 2568 จะถือเป็นการประชุมครม.นัดสุดท้ายของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล
: BTS พร้อมขายคืน
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา ผู้อำนวยการใหญ่สายธุรกิจ MOVE และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาครัฐได้เชิญบริษัทเข้าร่วมเจรจาในหลักการแล้ว ซึ่งทางบริษัทได้แสดงความเห็นด้วย แต่ยังไม่มีการเจรจาในรายละเอียด เนื่องจากต้องรอให้ ครม.มีมติเห็นชอบในกรอบการทำงานก่อน จากนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รฟม.จะเชิญบริษัทเข้าสู่กระบวนการเจรจาอย่างเป็นทางการต่อไป
สำหรับกรอบการเจรจาและเงื่อนไขตามสัญญาสัมปทาน การซื้อคืนสัมปทานจะดำเนินการภายใต้กรอบของสัญญาสัมปทานที่มีอยู่เดิม ในสัญญาสัมปทานระบุไว้ว่า รัฐมีสิทธิ์ที่จะขอคืนสัมปทานได้ โดยในกรณีรัฐขอคืนสัมปทาน สัญญาระบุถึงเงื่อนไขและรายละเอียดของค่าชดเชยที่รัฐจะต้องจ่ายให้แก่บริษัท ซึ่งรายละเอียดของค่าชดเชยอาจมีความแตกต่างกันไปในแต่ละสัมปทาน (แต่ละสายสี)
โดยรถไฟฟ้าของ BTS ที่จะขายคืนสัมปทานแก่รัฐ ได้แก่ สายสีเหลืองและสายสีชมพู ที่มีบริษัทในเครือบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เป็นผู้รับสัมปทานจากรฟม. และสายสีเขียวส่วนหลัก (หมอชิต-อ่อนนุช และสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน) ที่มี BTS รับสัมปทานจากกรุงเทพมหานคร (กทม.)
สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA Consensus) ให้ราคาเป้าหมายหุ้นบริษัทในเครือบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เฉลี่ย 4.44 บาท และสูงสุด 6 บาท ขณะที่ให้ราคาเป้าหมายหุ้นบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เฉลี่ย 8.92 บาท และสูงสุด 12.09 บาท

