
IPO เฉาหนัก!
หนึ่งในประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างมากมายก็หนีไม่พ้นเรื่อง IPO เฉา ซึ่งดูได้จากจำนวนหุ้นน้องใหม่ที่เข้าตลาดหุ้นมีจำนวนลดลงต่อเนื่อง
หนึ่งในประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างมากมายก็หนีไม่พ้นเรื่อง IPO เฉา ซึ่งดูได้จากจำนวนหุ้นน้องใหม่ที่เข้าตลาดหุ้นมีจำนวนลดลงต่อเนื่อง ซึ่งดูได้จากจำนวนหุ้นไอพีโอในปี 66 ที่มีทั้งหมด 40 ตัว แต่หลุดจองไปทั้งหมด 20 ตัว ถัดมาในปี 67 เข้ามาจดทะเบียนทั้งหมด 32 ตัว แต่หลุดจองไปทั้งหมด 23 ตัว ถัดมาในปี 68 มีเข้าจดทะเบียนทั้งหมด 17 ตัว และหลุดจองไป 7 ตัว ล้วนเป็นความถดถอยที่ไม่อาจมองข้ามได้นะนายจ๋า
งานนี้ถือเป็นความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายของทุกฝ่าย โดยเฉพาะในส่วนของการยกเลิก LTF ซึ่งสมัยนั้นกรมสรรพากรยืนยันแบบหัวเด็ดตีนขาดว่า ไม่ต่ออายุเรื่องลดหย่อนภาษีให้อีกแล้ว และนับจากนั้นก็ทำให้สภาพของตลาดหุ้นรวนหนักเป็นครั้งคราว และหนักสุดอีตอนครบรอบไถ่ถอนกองทุนดังกล่าว แม้จะมีกองทุน TESG เข้ามาแทนที่กองทุนหุ้นระยะยาว แต่สุดท้ายก็ไม่เปรี้ยงปร้างเท่าของเดิม หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่ใช่แฟนทำแทนไม่ได้นะอีพ่อ!
ที่สำคัญคือ กลุ่มคนเหล่านั้นดันหายเข้ากลีบเมฆไปหมด และเงียบเป็นเป่าสากกันเป็นแถว พร้อมกับทิ้งปัญหาให้ผู้บริหารรุ่นหลังแก้ปัญหากันต่อไป และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ “โมนิก้า” ชอบเม้าท์ถึงผลงานของอาจารย์ “วรพล” ซึ่งนั่งเป็นหัวเรือใหญ่ของ ก.ล.ต. เพื่อตอกย้ำให้เห็นว่า ยุคทอง IPO และการยกระดับมาตรฐานบัญชี..มันมีอยู่จริง! ซึ่งตอนนั้นเป็นการบูรณาการร่วมกันของทุกฝ่ายนะจะบอกให้
อ้อ!..อย่าลืมว่า “ตลาดฯ” กับ “บลจ.” ก็มีบทบาทสำคัญที่ช่วยทำให้ตลาดหุ้น และไอพีโอ ยืนหยัดอย่างแข็งแกร่ง เพราะพวกกองทุนมีการออกกองขนาดใหญ่ กองขนาดกลาง และกองขนาดเล็ก ซึ่งช่วยต้านทานแรงขายได้อยู่หมัด ขณะเดียวกันก็เป็นการพยุงหุ้นให้อยู่บนราคาเหมาะสม..อีฉันเลยอยากถามว่า สมัยนี้มีไหม? และคำตอบที่ได้รับคืนมาก็คือ ไม่เหลืออะไรเลยพะยะค่ะ
อีกประเด็นที่ทำให้ที่ FA เกิดอาการแหยงสุด ๆ คือ ท่าทีของ ก.ล.ต. ซึ่งมีพฤติกรรมการทำงานแบบเช็คบิลย้อนหลัง ทั้งที่เอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวกับการพาหุ้นน้องใหม่เข้าตลาดหุ้นผ่านมือสำนักงานไปหมดแล้ว หรือแม้กระทั่งบทบาทที่เคยเป็นพี่เลี้ยงคอยแนะนำให้กับ FA ก็ไม่มีเห็นอีกต่อไปแบบนี้ ล้วนเป็นเรื่องที่คุณน้อง “พรอนงค์” ต้องรีบกลับไปทบทวนหน่วยงานตัวเองว่า ทำตัวเหมือนที่เขาพูดกันหรือเปล่า? เจ้าคะ
น่าสนใจตรงที่ประเด็นดังกล่าวมีการถกเถียงกันมาเป็นปี แต่แนวทางที่จะปฎิบัติให้เป็นรูปธรรมยังไม่เกิดขึ้นเสียที “โมนิก้า” เลยรู้สึกงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทย เพราะสิ่งไหนที่เห็นว่าเป็นเรื่องดี ก็ควรใส่เกียร์เดินหน้าให้สุดซอยไปเลย แล้วเหตุไฉนกระบวนการถึงอ้อยอิ่งเหลือเกิน อีฉันจึงเห็นด้วยกับแนวทางที่ ตลท. อาสาเป็นโต้โผพูดคุยกับ ก.ล.ต. เพื่อหาทางให้กระบวนการทำไอพีโอคล่องตัวขึ้นกว่าเดิมนะจ๊ะ
นอกจากนี้ต้องไม่ลืมว่า ไอพีโอหลายตัวยังไม่สะท้อนมูลค่าแท้จริง เพราะหุ้นในกระดานอยู่ต่ำกว่าราคาเหมาะสมค่อนข้างเยอะ ขนาดนักวิเคราะห์บรรยายถึงการเติบโตอย่างละเอียดยิบ แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปซื้อหุ้นที่อ่อนตัวลงมาแบบนี้ “โมนิก้า” ย่อมมีความกังวลใจมากขึ้นเป็นธรรมดา..ขนาดโบรกเกอร์ให้เป้าหุ้นน้องใหม่ทุเรียน NTF อยู่ที่บริเวณ 20-30 บาท แต่หุ้นกลับยืนปิดได้แค่ระดับ 7 บาท บวกไป 1 บาท หรือขึ้นไป 16.70% ด้วยมูลค่า 669 ล้านบาท..มันใช่เหรอคะ
ประเด็นข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” มองการยืนปิดของดัชนีที่ระดับ 1,260.68 จุด ลบไป 12.72 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.08 หมื่นล้านบาท โดยหุ้น DELTA มีผลทำให้ดัชนีลบไปถึง 10 จุด ก็เป็นภาพที่ชี้ให้เห็นว่า ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในวังวนเดิม ๆ ซึ่งตัวอีฉันก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน และคงต้องอยู่กับเรื่องแบบนี้ต่อไป!..หรือใครมีทางออกที่ดีกว่านี้ ก็ช่วยแชร์ข้อมูลให้อีฉันด้วยนะคะ
โมนิก้าและทีมงาน