HPT ชูร้าน Central Hospitality บุกตลาดในปท.-AEC หวังดันรายได้ปี 60 โต 15-20%

HPT ชูร้าน Central Hospitality บุกตลาดในปท.-AEC หวังดันรายได้ปี 60 โต 15-20%


บริษัท โฮม พอตเทอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ HPT เปิดเผยว่า บริษัทเปิดช่องทางจำหน่ายใหม่รุกขยายตลาดในประเทศผ่านการร่วมทุนเปิดธุรกิจค้าปลีกผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์เครื่องใช้สำหรับธุรกิจร้านอาหารภายใต้ร้านค้า”Central Hospitality”ประเดิมเปิดสาขาแรกปีนี้วางเป้ารายได้ปีแรก 60 ล้านบาท ก่อนหาช่องทางขยายสู่หัวเมืองใหม่ และกระจายไปยังตลาดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) หนุนยอดขายรวมเติบโตจากเดิมพลิกโครงสร้างรายได้จากการพึ่งพาตลาดส่งออกเป็นหลักเกือบทั้ง 100% คาดช่วยผลักดันรายได้ปี 60 เติบโตราว 15-20% 

นางสาวนิจวรรณ เชาว์กิติโสภณ กรรมการผู้จัดการ HPT กล่าวว่า ร้าน Central Hospitality จะช่วยให้บริษัทสามารถขยายสัดส่วนตลาดในประเทศในปี 60 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 5% จากเดิมมีสัดส่วนน้อยมากเพียงราว 1% เท่านั้น เนื่องจากบริษัทมองเห็นช่องทางการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เซรามิกบนโต๊ะอาหาร ร่วมกับอุปกรณ์อื่น ๆ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าภาคธุรกิจที่มองหาอุปกรณ์ในการเปิดร้านอาหารอย่างครบวงจรในคราวเดียว

บริษัทจึงเข้าร่วมทุนกับพันธมิตรจากนิวซีแลนด์ตั้งบริษัท Central Hospitality จำกัด เปิดร้านค้าผลิตภัณฑ์เครื่องใช้สำหรับธุรกิจบริการด้านอาหารระดับ 3-5 ดาว โดย HPT ถือหุ้นในสัดส่วน 75% และพันธมิตร 25% นำสินค้ากว่า 5,000 รายการใน 24 กลุ่มที่ส่วนใหญ่เป็นการสินค้านำเข้าจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่าย อาทิ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารทั้ง แก้ว จาน ชาม ช้อนส้อม, อุปกรณ์เตรียมประกอบอาหาร เช่น มีด เครื่องบด เครื่องปั่นผสม, ตู้แช่แข็ง, ชุดครัวสเตนเลส ฯลฯ เป็นต้น ร่วมกับสินค้าหลักของ HPT ที่เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องเคลือบดินเผาประเภทไฟน์ไชน่า (Fine China) เพื่อใช้บนโต๊ะอาหารและเป็นเครื่องใช้ในครัว ซึ่งทำให้มีสินค้าวางจำหน่ายครอบคลุมทุกประเภทและลักษณะการใช้งานในการประกอบอาหารสำหรับอุตสาหกรรมบริการที่จะเน้นเป็นกลุ่มลูกค้าธุรกิจเป็นหลัก 

Central Hospitality ประเดิมเปิดสาขาแรกในย่านบางนาบนพื้นที่ร้านค้าขนาด 1,000 ตารางเมตรและคลังสินค้ากว่า 1,500 ตารางเมตร ด้วยงบลงทุนราว 40 ล้านบาท  โดยตั้งเป้ายอดขายในปีแรกไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท ก่อนประเมินผลการตอบรับเพื่อขยายสาขาในอนาคตทั้งในต่างจังหวัดและกลุ่มประเทศ AEC เช่น กัมพูชา พม่า ลาว มาเลเซีย สิงคโปร์ เนื่องจากบริษัทมองว่าภาพรวมอุตสาหกรรมโรงแรมและร้านอาหารทั้งในประเทศและภูมิภาคอาเซียนมีแนวโน้มเติบโตอย่างเห็นได้ชัดจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้น จึงเชื่อว่าจะส่งผลให้ความต้องการอุปกรณ์ต่าง ๆ สำหรับการเปิดสาขาร้านอาหารและโรงแรมเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

“การทำตลาด AEC ระยะแรก ๆ คงอาจจะใช้สาขาในประเทศ โดยเฉพาะหากมีการเปิดสาขาตามแนวชายแดนก็จะใช้ทำตลาดในประเทศเพื่อนบ้านรอบ ๆ แต่ถ้าจะมีการเปิดสาขาในประเทศต่าง ๆ ก็อาจจะต้องมองหาพันธมิตรท้องถิ่นเข้ามาร่วมด้วย เพราะลำพังเราเองคงทำได้ไม่ดีเท่าคนในประเทศของเขา”นางสาวนิจวรรณ กล่าว

ทั้งนี้ ช่องทางการจัดจำหน่ายมีทั้งหมด 6 ช่องทาง ประกอบด้วย พนักงานขาย (Sale Representative) เว็บไซต์ (Web order) โทรสั่งซื้อสินค้า (Call Center order) โทรสั่งซื้อสินค้าทางโทรสาร (Fax order) สั่งซื้อสินค้าทาง E-Mail (E-Mail order) และ การเลือกซื้อด้วยตนเอง (Cash & Carry)

“เราได้พันธมิตรคือ ผู้บริหารของ Southern Hospitality มาวางรูปแบบให้ตามโมเดลของเขาที่ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่เขามีสาขาถึง 15 สาขา และมีพนักงานขายถึง 140 คน และยังช่วยเราสั่งสินค้าเข้ามาขายได้ในเงื่อนไขที่ดีที่เขาได้รับจากซัพพลายเออร์ด้วย เพราะเรานำเข้าสินค้ามาขายราว 70% ของสินค้าที่วางขายทั้งหมด และการจัดการ stock ถือเป็นหัวใจสำคัญ”นางสาวนิจวรรณ กล่าว

นางสาวนิจวรรณ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ HPT วางขายสินค้าหลักสำหรับตลาดลูกค้าครัวเรือนในประเทศ เช่น เพทาย (PE”TYE) ผ่านช่องทางห้างสรรพสินค้าในกลุ่มเซ็นทรัลเท่านั้น แต่หลังจากมีร้าน Central Hospitality จะช่วยให้บริษัทมีช่องทางขยายตลาดค้าปลีกสินค้าหลัก รวมถึงสินค้าเกรดอื่นๆ และการนำสินค้าออกมาขายในราคาพิเศษได้เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น จึงจะส่งผลดีต่อยอดขายรวมในปีหน้าเป็นต้นไป ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายในเบื้องต้นเติบโตราว 15-20%

ส่วนในช่องทางเดิมนั้นจะยังคงไว้เพื่อเน้นการสร้างการรับรู้ในแบรนด์สินค้าของ HPT เป็นหลัก

“แต่ก่อนนี้ HPT จะขายเป็นล็อตใหญ่ การขายปลีกย่อย ๆ ทำได้ลำบาก แต่พอมี Central Hospitality เราก็สามารถเข้าสู่ตลาดขายปลีกได้ และยังสามารถนำสินค้าเกรดรอง ๆ มา clearance sale ได้ จากเดิมที่ลูกค้าต้องเดินทางมาซื้อที่โรงงานใน จ.ลำปาง เท่านั้น”นางสาวนิจวรรณ กล่าว

สำหรับการขยายตลาดต่างประเทศของ HPT นั้น นางสาวนิจวรรณ กล่าวว่า จะยังคงเน้นการขยายลูกค้าในตลาดหลักที่มีอยู่ ซึ่งมีสหรัฐเป็นตลาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาเป็นยุโรป  ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เนื่องจากบริษัทมีฐานลูกค้าและตัวแทนจำหน่ายที่แข็งแรงอยู่แล้ว ขณะที่การขยายกำลังผลิตล่าสุดในปีนี้จะสามารถรองรับการขยายตลาดในช่วง 5 ปีข้างหน้าได้อีกเท่าตัวตามกำลังผลิตที่จะเพิ่มขึ้นจากเดิม 3 ล้านชิ้น/ปี เบื้องต้นในปีนี้เพิ่มเป็น 3.6 ล้านชิ้น/ปีแล้วและจะทยอยเพิ่มกำลังผลิตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ตลาดสหรัฐเริ่มเห็นออร์เดอร์เพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางปีนี้ตามภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดีขึ้น ส่วนตลาดยุโรปยังเนือย ๆ อยู่บ้าง แต่ก็เชื่อว่าปีหน้าน่าจะดีขึ้น ขณะที่ตลาดออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ขยายขึ้นมากอาจจะเป็นเพราะเศรษฐกิจดี แล้วตัวแทนของเราทั้งสองรายก็ทำตลาดได้ดี”นางสาวนิจวรรณ กล่าว 

Back to top button