MBKET ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โตเกิน 15% ลุยขยายฐานนักลงทุนเพิ่ม

MBKET ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โตเกิน 15%-มาร์เก็ตแชร์เพิ่มเป็น 9-10% ลุยขยายฐานนักลงทุนอีก 2.5 หมื่นบัญชี พร้อมรักษาแชมป์โบรกเกอร์อันดับ 1 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 16


บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET ระบุว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 60 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% ส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) เพิ่มขึ้นเป็น 9-10% และจะมุ่งขยายฐานนักลงทุนเพิ่มอีก 2.5 หมื่นบัญชี พร้อมรักษาแชมป์โบรกเกอร์อันดับ 1 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 16 จาก ณ ต้นปีนี้บริษัทมีมาร์เก็ตแชร์ 8.8% และมีบัญชีลูกค้าราว 1.92 แสนบัญชี คิดเป็นลูกค้าที่เทรดผ่านผู้แนะนำการลงทุน (IC) และเทรดผ่านระบบออนไลน์อย่างละครึ่ง ซึ่งคาดว่าลูกค้าในกลุ่มนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยกลยุทธ์สำคัญที่จะเข้ามาสร้างรายได้ของบริษัทให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้คือ บุคลากรและทีมงานที่มีความเป็นมืออาชีพโดยบริษัทฯพร้อมดูแลพนักงานอย่างดีที่สุด อีกทั้งยังมีความพร้อมในทุกๆด้าน ควบคู่กับการเย้นการรักษาทาตรฐานการให้บริการที่ยอดเยี่ยมผลงานวิจัยมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับ และการันตีได้จากรางวัลมากมาย อีกทั้งยังมีการลงทุนด้านระบบ ไอที คิดเป็นมูลค่าลงทุนกว่า 590 ล้านบาท โดยเมย์แบงก์ กิมเอ็ง กรุ๊ป แต่งตั้งให้ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เป็นศูนย์พัฒนานวัตกรรมกลุ่มเมย์แบงก์ของทั้งภูมิภาคอีกด้วย

ขณะเดียวกันในปีนี้บริษัทจะเน้นการขยายงานด้านธุรกิจออนไลน์ บิสสิเนส โดยเชื่อว่าโลกแห่งอนาคตจะเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคออนไลน์ ดิจิตอลมากขึ้น บริษัทจึงยกระดับการให้บริการฟินเทคที่จะเข้ามาพลิกโฉมการให้บริการด้วยการเน้นการทำการตลาดผ่านออนไลน์มาร์เก็ตติ้ง การปรับภาพลักษณ์องค์กรให้ดูทันสมัย การเพิ่มสินค้า และบริการ ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในรูปแบบ One mobile One stop Service เริ่มต้นด้วยการเปิดตัวบริการ “Maybank Kim Eng Trading” กับการส่งคำสั่งซื้อขายผ่านโรปแกรม LINE สะสมค่าคอมมิชชั่นแลกรับรางวัล และอยู่ระหว่างพัฒนาบริการ Personalized คือบริการส่งข้อมูลอันเป็นประโยชน์ให้กับลูกค้า ที่ประมวลผลจากความสนใจของลูกค้า ที่จะให้ข้อมูลที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า และแคมเปญ “Tiger Points” แลกแต้มเพื่อแลกตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ชมการแข่งขัน ฟอร์มูล่าวัน ประเทศสิงคโปร์ อีกด้วย

ด้านสายงานวาณิชธนกิจ (IB) ปัจจุบันบันบริษัทฯเป็นที่ปรึกษาในการระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ต่ำกว่า 10 ดีล โดยมีมูลค่าการระดมทุนไม่ต่ำกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท โดยประกอบด้วยธุรกิจที่น่าสนใจและหลากหลาย อาทิ โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ โรงไฟฟ้าชีวมวล ผู้ผลิตแร่และเรมีรายใหญ่ของเอเชีย ผู้ผลิตเชื้อเพลิงเอทานอล ผู้ผลิตชิ้นส่วนระยนต์ ทั้ง OEM และ REM ผู้ให้บริการท่าเรือและขนส่ง ผู้จัดงานแสดงสินค้าและบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

ปัจจุบันได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ไปแล้ว 4 บริษัท ส่วนที่เหลือคาดว่าจะทยอยยื่นขออนุญาตต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในปีนี้ไปจนถึงปีหน้า นอกจากนี้ยังมีงานที่ปรึกษาด้านการควบรวมกิจการ (M&A) และการสนับสนุนเงินกู้ของธนาคาร เมย์แบงก์ แก่ธุรกิจไทย เพื่อขยายกิจการในภูมิภาคอาเซียนอีกจำนวนหนึ่ง

สำหรับทางด้านธุรกิจตราสารอนุพันธ์ บริษัทฯมีแผนจะทำ Structured Note เพื่อเพิ่มทางเลือกในการลงทุนรับหุ้นและดอกเบี้ยที่ผันผวน และการออกใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ (Derivative Warrant) บน SET50 เพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุน ซึ่งบริษัทฯเห็นว่ายังสามารถขยายฐานลูกค้าได้อีก โดยเฉพาะการนำมาใช้บริการความเสี่ยงจากความกังวลภาวะตลาดขาลง โดยเน้การให้ความรู้ด้านกลยุทธ์แก่ผู้ลงทุน

ส่วนบริการ Offshore Trading ก็มีแนวโน้มที่ดี โดยบริษัทฯเดินหน้าให้ความรู้และขยายฐานนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ด้วยความร่วมมือแลเครือข่ายด้านการลงทุนของเมย์แบงก์กิมเอ็ง กรุ๊ป ทำให้บริษัทมีความพร้อมในการให้บริการเทรดหุ้นในตลาดต่างประเทศ อาทิ เวียดนาม ฮ่องกง สิงคโปร์และมาเลเซีย

นายมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทได้เสริมคงามแข็งแกร่งโดยการเสริมทัพสายงานบริหาร ด้วยการแต่งตั้งนางสุดธิดา จิระพัฒน์สกุล รับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม และนายสิทธิพร ศรกาญจน์ เข้ามาร่วมในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ โดยทั้ง 2 ท่านจะดูแลสายงานธุรกิจหลักทรัพย์รายย่อย อีกทั้งได้ผู้บริหารหนุ่มไฮเทค นายธวัท วงศ์ชูแก้ว กลับมาร่วมงานในบริษัทฯอีกครั้งในต่ำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานธุรกิจออนไลน์บิสเนส เพื่อเสริมทัพทีมบริหารให้แข็งแกร่ง และเดินหน้าธุรกิจปี 60 อย่างเต็มที่

Back to top button