D ดีสมชื่อ! ลงสนามเทรดลุ้นยืนเหนือ 10 บ.

D ดีสมชื่อ! ลงสนามเทรดลุ้นยืนเหนือ 10 บ. ชูกำไรปี 59 โตกระฉูดกว่า 2 เท่าตัว หลังบริษัทจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมจุดแข็งผู้ให้บริการทางทันตกรรมที่ครบวงจรด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ได้มาตรฐานรักษาในระดับสากล


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ (3 เม.ย.) บริษัท เดนทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ D จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (mai) เป็นวันแรกในหมวดธุรกิจบริการ ด้วยราคา IPO ที่ 6 บาท

โดย ทพ.พรศักดิ์ ตันตาปกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร D เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (mai) เป็นวันแรกในวันที่ 3 เม.ย.นี้ โดยใช้ชื่อย่อว่า D ในการซื้อขายหลักทรัพย์ฯ โดยบริษัทได้เปิดจองหุ้น IPO เมื่อวันที่ 23 , 24 และ 27 มี.ค. ที่ผ่านมา และพบว่านักลงทุนให้การตอบรับเป็นอย่างดีและให้ความสนใจจองซื้อหุ้นที่บริษัทเสนอขายเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้บริษัทมีทุนจดทะเบียนจำนวน 100 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนที่ชำระแล้วจำนวน 75 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 150 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 0.50 บาท และจะเสนอขายหุ้น IPO อีกจำนวน 50 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 6 บาท

สำหรับวัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้ไปลงทุนขยายสาขา โดยจะเลือกในทำเลที่มีศักยภาพที่โดดเด่นและมีกำลังซื้อจริงเท่านั้น อีกส่วนจะนำไปใช้ชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินงาน ผลักดันให้ธุรกิจของบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น

ขณะเดียวกันบริษัทมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างดี เพราะจากการทำงานร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงิน แกนนำการจัดจำหน่ายและผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้น ตั้งแต่การให้ข้อมูลจนถึงการจองซื้อที่ผ่านมา ทำให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ D ซึ่งหลังจากนี้บริษัทจะมุ่งมั่นทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ เพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคง และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นต่อไปในอนาคต

สำหรับผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง โดยในปี 57-59 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 408.26 ล้านบาท 418.56 ล้านบาท และ 446.52 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่กำไรสุทธิของบริษัทและบริษัทย่อย ในปี 57-59 เท่ากับ 25.59 ล้านบาท 12.30 ล้านบาท และ 42.52 ล้านบาท ทั้งนี้ อัตรากำไรสุทธิในปี 58 ลดลงเมื่อเทียบจากปี 57 เนื่องจากในปีดังกล่าวมีการเพิ่มจำนวนพนักงานรวมถึงมีการปรับเพิ่มเงินเดือนให้กับพนักงาน และมีการทำโฆษณาผ่านการตลาดออนไลน์ที่มากขึ้น

ผลประกอบการของบริษัทมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในทุกๆปี เนื่องจากศูนย์ทันตกรรมของเรามีคุณภาพมาตรฐานในระดับแถวหน้าเทียบเท่าโรงพยาบาลชั้นนำของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่สำคัญ ทำให้ได้รับการยอมรับจากชาวต่างชาติและลูกค้าที่เป็นคนไทย และมีแนวโน้มเติบโตได้อีกมาก ทำให้ในปี 60 มีแผนขยายสาขาเพิ่มขึ้นอีก 3 – 4 สาขา

โดยใช้งบลงทุนประมาณ 30 – 60 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่าจะช่วยขยายฐานลูกค้าที่มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ใส่ใจกับสุขภาพปากและฟันเป็นอย่างมาก ทำให้มั่นใจว่าจะช่วยเพิ่มฐานลูกค้า ผลักดันธุรกิจของบริษัทให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง” นายพรศักดิ์ กล่าว

ซึ่งในปัจจุบันกลุ่มบริษัทมีทั้งหมด 12 สาขา เป็นศูนย์ทันตกรรมจำนวน 2 สาขา และคลินิกทันตกรรมจำนวน 10 สาขา ภายใต้แบรนด์ “BIDC”, “Dental Signature” และ “Smile Signature” ให้บริการทางทันตกรรมแบบทั่วไป ทันตกรรมเพื่อความงาม ทันตกรรมรากฟันเทียม ทันตกรรมประดิษฐ์ ทันตกรรมจัดฟัน นอกจากนี้ยังมีส่วนศัลยกรรมช่องปาก รักษารากฟัน และรักษาโรคเหงือก

ทั้งนี้ ศูนย์ทันตกรรม BIDC ได้ใบรับรองการบริหารจัดการด้านการให้บริการทางทันตกรรมจาก Joint Commission International หรือ JCI Accreditation ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานระดับสากลทางด้านการให้บริการด้านการดูแลสุขภาพและการบริหารองค์กรของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยศูนย์ทันตกรรม BIDC เป็นศูนย์ทันตกรรมแห่งแรกของประเทศไทยที่ได้รับมาตรฐาน JCI

นอกจากนี้ แต่ละสาขายังมีทีมทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีทีมงานที่ได้รับการอบรมให้มีมาตรฐานในการให้บริการเป็นอย่างดีทำให้ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศให้ความไว้วางใจและเข้าใช้บริการอย่างต่อเนื่อง

 

ด้านนางศิริพร เหล่ารัตนกุล ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า บริษัทมีความมั่นใจว่าการเข้าซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ mai วันที่ 3 เม.ย.นี้ จะได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม

เนื่องจากในช่วงนำเสนอข้อมูลแก่นักลงทุน (โรดโชว์) เมื่อวันที่ 16 มี.ค.60 ที่ผ่านมา รวมถึงจากการเปิดจองหุ้น IPO ที่ผ่านมา พบว่านักลงทุนให้การตอบรับเป็นอย่างดี และให้ความสนใจจองซื้อหุ้นที่บริษัทเสนอขายเป็นจำนวนมาก เพราะมีความมั่นใจในพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง และผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ในการขยายธุรกิจที่ชัดเจน มีจุดเด่นและแตกต่างอย่างสูง เมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน

เชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าในการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai เป็นวันแรก D จะสามารถยืนเหนือราคาจองซื้อที่ 6 บาทได้” นางศิริพร กล่าว

ทั้งนี้ D เป็นหุ้นไอพีโอน้องใหม่ที่มีพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง มีจุดเด่นที่ชัดเจน คือ ให้บริการทางทันตกรรมที่ครบวงจรด้วยเทคโนโลยีและวัสดุอุปกรณ์ที่ทันสมัย โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีมาตรฐานการรักษาในระดับสากล จนสามารถเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

อนึ่ง D เป็นผู้ให้บริการด้านทันตกรรม คลินิกทันตกรรม โดยกลุ่มบริษัท ประกอบธุรกิจให้บริการทางทันตกรรมแบบครบวงจรด้วยเทคโนโลยีและวัสดุอุปกรณ์ที่ทันสมัย ให้บริการทางทันตกรรมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีมาตรฐานการรักษาในระดับสากล และมุ่งเน้นการเอาใจใส่ต่อผู้เข้ารับบริการ ในรูปแบบศูนย์ทันตกรรมและคลินิกทันตกรรม ภายใต้แบรนด์ “BIDC”, “Dental Signature” และ “Smile Signature” ปัจจุบัน กลุ่มบริษัทมีทั้งหมด 12 สาขา เป็นศูนย์ทันตกรรมจำนวน 2 สาขา และคลินิกทันตกรรมจำนวน 10 สาขา

 

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวรายหนึ่ง เปิดเผยกับ ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ว่า ราคาหุ้น D มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นสูงถึง 12 บาท โดยคำนวณจากค่า P/E กลุ่มการแพทย์ ที่ระดับ 38 เท่า และกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 0.32 บาท ขณะเดียวกันบริษัทมีพื้นฐานของธุรกิจที่แข็งแกร่ง และมีจุดเด่นในการให้บริการทางทันตกรรมที่ครบวงจรด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และมีมาตรฐานการรักษาในระดับสากล รวมถึงเป็นศูนย์ทันตกรรมแห่งแรกของประเทศไทยที่ได้รับมาตรฐาน JCI จึงมองว่าราคาหุ้นน่าจะปรับตัวขึ้นประมาณ 100% จากราคา IPO ที่ 6 บาท

นอกจากนี้บริษัทยังจัดการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงส่งผลให้ในปี 59 บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัว มาที่ 42.52 ล้านบาท จากปีก่อน 12.30 ล้านบาท ซึ่งหากในปีนี้บริษัทยังสามารถจัดการบริหารต้นทุนได้อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปลงทุนขยายสาขา เพื่อเพิ่มฐานลูกค้า จึงคาดว่าจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้เติบโตอย่างก้าวกระโดด

Back to top button