VCOM เจาะตลาดกลุ่ม CLM เต็มกำลัง ตั้งเป้าปี 61 เพิ่มสัดส่วนรายได้ตปท.เป็น 25%

VCOM เจาะตลาดกลุ่มประเทศ CLM โดยเฉพาะกัมพูชาเต็มกำลัง ตั้งเป้าปี 61 เพิ่มสัดส่วนรายได้ตปท.เป็น 25% จากเดิม 10%


นางทรงศรี ศรีรุ่งเรืองจิต กรรมการผู้จัดการ บริษัท วินท์คอม เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ VCOM ผู้ดำเนินธุรกิจตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรับการใช้งานในระดับองค์กร เปิดเผยว่า หลังจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว บริษัทเตรียมนำเงินที่ได้จำนวน 230 ล้านบาท ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

โดยเฉพาะการขยายงานขายโครงการใหญ่ทั้งในประเทศ และประเทศในกลุ่ม CLM อาทิ กัมพูชา ลาว และเมียนมา ตามเป้าหมายที่บริษัได้วางไว้ เพื่อสร้างการความเติบโตมั่นคงและยั่งยืนก้าวสู่เป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ทั้งด้านการนำเสนอโซลูชั่น แบบครบวงจร ในเขตประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)

สำหรับภาพรวมแนวโน้มอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในปี 61 มองว่า จากความต้องการใช้เทคโนโลยีในอุตสาหกรรมหลักต่างๆ ยังคงมีแนวโน้มอัตราเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพัฒนาระบบเทคโนโลยีและสารสนเทศ ทั้งในระดับองค์กรขนาดใหญ่ทั้งหน่วยงานภาครัฐ และ เอกชน

ทั้งนี้เป็นผลต่อเนื่องจากแผนนโยบาย Digital Economy Thailand 4.0 ที่แต่ละองค์กรต้องนำเอาเทคโนโลยีดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ เพื่อให้เข้ากับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม ที่จะมีผลต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต ดังนั้น ภาพการขยายตัวทางธุรกิจของบริษัท ก็ได้ตั้งเป้าหมายภายในอีก 2-3 ปีข้างหน้า จะมีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากการให้บริการอยู่ที่ 50%จากปัจจุบันอยู่ที่ 25% เนื่องจากรายได้บริการ จากบริษัท วีเซิร์ฟพลัส จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านไอที ไปจนถึงบริการ Call Center บริการหลังการขายผ่านศูนย์บริการทั่วประเทศ ซึ่ง VCOM ถือหุ้น 51% มีมาร์จิ้นสูง ประมาณ 20-30% ขณะที่รายได้จากการจำหน่ายสินค้า มีมาร์จิ้น อยู่ที่ประมาณ 10%

ขณะที่สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ คาดว่าจะขยับแตะที่ระดับ 20-25% ในปี 61 จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 10% ทั้งนี้เป็นผลจากการขยายงานขายในกลุ่มประเทศ CLM ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับงานจากธนาคารพาณิชย์เอกชนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง (Private Commercial Bank) ของประเทศเมียนมา เป็นผู้ดำเนินการในโครงการ “Core Banking and Internet Banking System Hardware and Software Upgrade and Migration” ซึ่งมีมูลค่าไทยราวกว่า 200 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนเชิงกลยุทธ์ในการขยายตลาดในประเทศกัมพูชา เพิ่มขึ้น หลังจากมีนำสินค้าเข้าไปจำหน่าย ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี ประกอบกับความต้องการในประเทศดังกล่าวค่อนข้างสูง ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีในการขยายธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม บริษัทมั่นใจในศักยภาพความแข็งแกร่งทางธุรกิจที่ยังคงเติบโตได้อย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นผลจากความโดดเด่นในการเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Distributor) และการให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับเจ้าของผลิตภัณฑ์ (Vendor) 7 รายใหญ่ระดับโลก

โดยบริษัทยังได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้าระดับต้นๆ ของประเทศ ประกอบด้วย ผู้รวบรวมระบบงาน (system integrators) และผู้ใช้งานทั่วไป (end users) ประเภทองค์กรขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งจากคุณสมบัติดังกล่าว เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่มั่นคงในอนาคต ขณะเดียวกันบริษัทพร้อมที่จะจ่ายเงินปันผล ตามนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ

Back to top button