NOBLE รับปีนี้ขาดทุน ฟุ้งปีหน้าพลิกกำไร หลังมี Backlog ราว 1.9 หมื่นลบ. รับรู้ปี 59

NOBLE รับปีนี้ผลประกอบการขาดทุน เหตุก่อสร้างล่าช้า คาดรายได้ปีนี้ต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 2.35 พันลบ. เชื่อปีหน้าพลิกเป็นกำไร เผยมี Backlog มูลค่าราว 1.9 หมื่นลบ. ทยอยรับรู้ส่วนใหญ่ในปี 59


นายธีรพล วรนิธิพงศ์ ผู้อำนวยการโครงการ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE เปิดเผยว่า การดำเนินงานของบริษัทในปีนี้จะมีผลขาดทุน เนื่องจากไม่มีกำหนดโอนโครงการคอนโดมิเนียมให้กับลูกค้าจากความล่าช้าในการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการได้รับใบอนุญาตรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ใช้ระยะเวลานานและมีการปรับแก้ค่อนข้างมาก ซึ่งส่งผลต่อเนื่องไปยังการส่งมอบโครงการและการรับรู้รายได้ของบริษัทที่ต้องเลื่อนออกไป ทำให้รายได้ของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 2.35 พันล้านบาท

อย่างไรก็ตาม บริษัทเชื่อว่าในปีหน้าจะพลิกกลับมามีกำไร โดยขณะนี้บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่าราว 1.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ส่วนใหญ่ในปี 59 และจะทยอยโอนไปถึงปี 61

ขณะที่บริษัทตั้งเป้ายอดขายปีนี้ที่ 1 หมื่นล้านบาท มาจากยอดขายของโครงการในมือราว 2 พันล้านบาท ปัจจุบันเหลืออยู่ 1 พันล้านบาท ส่วนยอดขายจากโครงการใหม่จำนวน 8 พันล้านบาท และล่าสุดวันนี้บริษัทเปิดโครงการใหม่เป็นโครงการแรกในปีนี้ คือ โครงการคอนโดมิเนียม BE 33 สุขุมวิท 33 มูลค่า 3.3 พันล้านบาท เป็นอาคารสูง 31 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 277 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 210,000 บาทต่อตารางเมตร เปิดจองวันที่ 21 มิถุนายน 58 โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายในวันแรกราว 3.3 พันล้านบาท

ด้านนายกิตติ ธนากิจอำนวย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NOBLE เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.37 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบกว่า 1 พันล้านบาท และส่วนที่เหลือเป็นคอนโดมิเนียม 2-3 โครงการ โดยจะเปิดตัวในครึ่งปีหลังอีก 3 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 1 โครงการ และคอนโดมิเนียม 1-2 โครงการ

ทั้งนี้ แนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ของไทยในช่วงที่เหลือของปีคาดว่าจะสดใสโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากการเมืองนิ่งและภาวะเศรษฐกิจของประเทศคาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรกที่ยังชะลอตัว ประกอบกับการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆของรัฐที่คาดว่าจะออกมามากในช่วงครึ่งปีหลัง จะช่วยกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชน และช่วยกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ให้เติบโตขึ้น ขณะที่กำลังซื้ออาจจะดีขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อย

Back to top button