PRIME เซ็น PPA “โซลาร์กัมพูชา” 78MW แย้มธุรกิจ “โซลาร์รูฟ” ดันกำไรทั้งปีโตแกร่ง

PRIME เซ็น PPA “โซลาร์กัมพูชา” 78MW แย้มธุรกิจ “โซลาร์รูฟ” ดันกำไรทั้งปีโตแกร่ง


นายสมประสงค์ ปัญจะลักษณ์ ประธานกรรมการ บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIME ผู้ผลิตพลังงานสะอาดชั้นนำ เปิดเผยว่า “สำหรับผลประกอบการในครึ่งปีแรกของปี 2563 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2563 บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานเติบโตดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทฯ มีรายได้รวม 357 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.2% จากรายได้รวม 337 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปี 2562 และมีกำไรเบ็ดเสร็จ 242 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.3% จากกำไรเบ็ดเสร็จ 161 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปี 2562

โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิสูงประมาณ 49% ซึ่งนับว่าสูงที่สุดแห่งหนึ่งในกลุ่มโรงไฟฟ้า โดยการ เติบโตนี้มาจากการรับรู้รายได้เต็มงวดของโรงไฟฟ้า 3 โครงการในประเทศไต้หวันที่เริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) เมื่อเดือนเมษายน ปี 2562 รวมถึงยังมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการแข็งค่าของเงินบาท และ ส่วนเกินทุนจากการปรับมูลค่ายุติธรรมในระหว่างงวด”

สำหรับฐานะทางการเงิน บริษัทฯ มีสินทรัพย์จำนวน 5,580.5 ล้านบาท เติบโตขึ้น 5.8% จากเมื่อสิ้นปี 2562 โดยแบ่งเป็นส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 2,682.8 และหนี้สินรวม 2,897.7 ล้านบาท ทำให้มีอัตราหนี้สินต่อส่วน ของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) เพียง 1.08 เท่า ซึ่งถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน จึงเป็นโอกาสดีที่จะจัดหาเงินทุนระยะยาวเพิ่มเติมมาลงทุนขยายธุรกิจ

โดยบริษัทฯ กำลังศึกษาความเป็นไปได้ หลายอย่าง เช่น การกู้ยืมจากสถาบันการเงินและการออกหุ้นกู้ เป็นต้น ทั้งนี้บริษัทฯ ได้เริ่มหารือกับสถาบัน การเงินและบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งแล้ว แต่ยังเปิดโอกาสให้รายอื่นๆ เข้ามาเสนอแนะแนวทางเพิ่มเติมอีก เพื่อจะได้เลือกวิธีที่มีต้นทุนทางการเงินต่ำและเป็นประโยชน์กับบริษัทฯ มากที่สุด

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันฯ รายได้หลักของบริษัทเกือบทั้งหมด มาจากการขายไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโรงไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งมีขนาดกำลังผลิตติดตั้งทั้งหมดรวม 287 เมกะวัตต์ โดยเป็นโครงการที่ดำเนินการ ขายไฟแล้ว 179 เมกะวัตต์ และโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 108 เมกะวัตต์ ซึ่งตั้งอยู่ใน 4 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย มีกำลังผลิตติดตั้งรวม 132.3 เมกะวัตต์ ประเทศญี่ปุ่น 68.2 เมกะวัตต์ ประเทศไต้หวัน 8.5 เมกะวัตต์ และประเทศกัมพูชา 78 เมกะวัตต์ โดยโครงการที่ขายไฟแล้วคาดว่าจะทำรายได้ในปีนี้ราว 700 ล้านบาท”

จากเมื่อปลายปี 2562 บริษัทฯ ได้ชนะการประมูลโครงการ National Solar Park ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงาน แสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศกัมพูชา มีที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดกัมปงชนัง มีขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 78 เมกะวัตต์ และมีสัญญาจำหน่ายไฟฟ้า 60 เมกะวัตต์ โดยโครงการนี้มีธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) เป็นที่ปรึกษาช่วยวางแผนและจัดประมูลให้รัฐบาล จึงมีความโปร่งใสสูง และมี ความเสี่ยงต่ำ

ล่าสุดหลังจากเร่งดำเนินการประสานงานมาโดยตลอด บริษัทฯได้ลงนามในสัญญาพัฒนา โครงการและสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับรัฐบาลกัมพูชาเป็นผลสำเร็จเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ โครงการมีกำหนดการก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในไตรมาส 2 ปี 2565

“ในตอนนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการคัดเลือกสถาบันการเงินที่จะเป็นผู้สนับสนุนสินเชื่อโครงการ (Project Finance) จำนวน 70% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด 1,500 ล้านบาท ซึ่งธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) ที่เป็นปรึกษาโครงการตั้งแต่ต้นก็ได้ให้ข้อเสนอที่ดีมากมาให้แล้ว แต่บริษัทฯ ยังได้รับความสนใจจากสถาบัน การเงินระดับนานาชาติแห่งอื่นที่สนใจสนับสนุนสินเชื่อให้เช่นกัน โดยบริษัทฯ จะสรุปเลือกสถาบันการเงินที่ให้ ข้อเสนอที่ดีที่สุดแก่บริษัทฯ ได้ในเร็วๆ นี้”

อย่างไรก็ตาม เมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เปิดตัวธุรกิจใหม่ คือ ธุรกิจรับเหมาติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์  บนหลังคา (Solar Rooftop EPC) โดยได้ร่วมลงทุนและถือหุ้นใหญ่ในบริษัทที่มีประสบการณ์ด้านนี้สูงกว่า 10 ปี พร้อมทั้งเดินหน้าจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจหลายรายที่แนะนำลูกค้าเอกชนที่มีความสนใจจะติดตั้งให้ ทำให้ตั้งแต่เริ่มจนถึงปัจจุบันมีโครงการที่มีความเป็นไปได้สูงมารอให้เข้าไปดำเนินการเกือบ 30 โครงการ

ส่วนใหญ่เป็นโรงงานอุตสาหกรรมที่มีผลประกอบการดี มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง และระบบ Solar Rooftop จะช่วยลดค่าไฟซึ่งเป็นต้นทุนของธุรกิจได้อย่างมีนัยยะสำคัญ โดยบริษัทฯ ใช้กลยุทธ์ ลุยเจรจาและทำสัญญา กับลูกค้าที่มีศักยภาพสูงก่อน ทำให้ปัจจุบันมีโครงการที่ก่อสร้างแล้วกับโครงการที่กำลังจะทำสัญญา รวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท และ ภายในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าจะทำสัญญาให้ได้มูลค่ารวม 300 ล้านบาท แต่อาจจะก่อสร้างแล้วเสร็จและรับรู้ รายได้ภายในปี 2564”

“ตัวอย่างโครงการที่สำเร็จแล้วของลูกค้าที่มีชื่อเสียง ได้แก่ โครงการ KUBOTA Farm ของบริษัท สยาม คูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด ที่ให้ไปติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนโครงสร้างเสาคร่อมแปลง ปลูกพืชสาธิตแนวคิดการใช้พื้นที่เก็บเกี่ยวพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยการผลิตอาหารและการผลิตไฟฟ้า อย่างมี ประสิทธิภาพ (Solar Double Cropping)

โดยโครงการนี้ตั้งอยู่ที่ที่อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ถือเป็นฟาร์มสร้างประสบการณ์เกษตรสมัยใหม่ของคูโบต้าในภูมิภาคอาเซียน มุ่งหวังให้เป็นแหล่งเรียนรู้ เทคนิคด้านการเกษตร (Agriculture Solutions) ผสานการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม เครื่องจักรกล การเกษตร (Machinery Solutions) เพื่อให้เกษตรกรได้เข้าถึงทุกนวัตกรรมเกษตรครบวงจรที่ใช้ได้จริง โดยมีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเสด็จ เปิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา

“โลกกำลังปรับตัวเข้าสู่ยุคของการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยองค์การสหประชาชาติ (UN) กำลังขับเคลื่อน ให้เกิด ขึ้นผ่านเป้าหมายต่างๆ ทำให้อุตสาหกรรมพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลมาถึงจุดอิ่มตัว ในทางกลับกัน ก็ทำให้อุตสาหกรรมพลังสะอาดเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว บริษัทฯ มุ่งมั่นจะเป็นส่วนหนึ่ง ในการพัฒนา อย่างยั่งยืนนี้ จึงตั้งเป้าให้จะลงทุนเพิ่มเติมขยายกำลังผลิตติดตั้งของโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด ซึ่งไม่ได้จำกัด เฉพาะโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ จากปัจจุบันมีกำลังผลิตติดตั้ง 287 เมกะวัตต์ ให้เพิ่มเป็น 400 เมกะวัตต์ ภายในปีนี้ และให้มากกว่า 1,000 เมกะวัตต์ภายใน 5 ปี”

สำหรับการขยายธุรกิจ บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์ ‘Go Local’ มุ่งพัฒนาโครงการใหม่ในประเทศ ซึ่งตอนนี้ กำลังเตรียมพร้อมสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (ควิกวิน) ของภาครัฐ และยังลุยซื้อ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่จ่ายไฟแล้วเข้ามาปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อเสริมความแกร่งของพอร์ต บริษัทฯ อีกด้วย ฉะนั้นหากเจ้าของโครงการท่านไหนมีโครงการที่ดีต้องการเสนอขาย ก็สามารถติดต่อมา ที่บริษัทฯ ได้

นอกจากนี้ยังมีกลยุทธ์ ‘Go Inter’ ที่มุ่งขยายการลงทุนไปในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทั้งในประเทศ ที่ลงทุนไปแล้ว อย่างญี่ปุ่น ไต้หวัน และกัมพูชา และประเทศใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เช่น มาเลเซีย เวียดนาม พม่า และอุซเบกิสถาน เป็นต้น

“ในปี 2563 นี้บริษัทฯ ยังได้เริ่มใช้กลยุทธ์ Digital Transformation เพื่อพัฒนาองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิตัล นำระบบ Objectives, Key Results (OKR) ที่ใช้โดยองค์กรระดับโลกอย่าง Google เข้ามาใช้เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพอย่างจริงจัง และยังสนับสนุนให้พนักงานมีจิตวิญญาณผู้ประกอบการ (Entrepreneurship Spirit) เปิดทางให้ศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจใหม่ที่น่าสนใจ เช่น ธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์เกี่ยวกับระบบ ไฟฟ้า และธุรกิจที่ปรึกษาระบบจัดการพลังงาน (Energy Management System) เป็นต้น โดยบริษัทฯ มีเป้าหมายสำคัญในปีนี้ คือ มีรายได้ 1,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 52% จากรายได้ 658 ล้านบาทในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 400 ล้านบาท เติบโตขึ้น 51% จากกำไรสุทธิ 265 ล้านบาทในปีก่อน ทั้งหมดนี้ เพื่อมุ่งเติบโตสู่บริษัทพลังงานสะอาดชั้นนำ สามารถทำกำไรไปพร้อมกับการพัฒนาให้โลกดีขึ้น และยังสร้าง ผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นตลอดไป”

Back to top button