NWR ลบ 3% โบรกฯแนะ “ขาย” ชี้กำไรไม่แน่นอน – ผลงานชะลอตัว

NWR ราคาลง 3% โบรกฯลดคำแนะนำ “ขาย” เหตุกำไรไม่แน่นอน – ผลงานชะลอตัวตั้งแต่ไตรมาส 2 เนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้นและปัญหาแรงงานที่ขาดช่วง รวมถึงอุปสรรคในการก่อสร้างจึงทำให้งานล่าช้า


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (25 มิ.ย.64) ราคาหุ้นบริษัทเนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR  ณ เวลา 16.14 น. อยู่ที่ระดับ 1.14 บาท ลดลง 0.04 บาท หรือ 3.39% โดยทำจุดสูงสุดที่ 1.20 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 1.21 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 64.04 พันล้านบาท  

บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ ( 4 มิถุนายน 2564 ) โดยประเมินNWR ว่าด้วยมีผลประกอบการไตรมาส 1/2564 ที่พื้นตัวมีกำไรที่ดีขึ้น 52 ล้านบาทจากไตรมาสก่อนที่ขาดทุน 293 ล้านบาท และปีก่อนที่มีกำไรเพียง 10 ล้านบาท แรงหนุนจากยอดรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้น 2,962 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 23 จากงวดเดียวกันของปีที่แล้ว รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มเป็น 8.9% จาก 0.2% ในไตรมาสก่อน และ 9% ในปีก่อน 

โดยปัจจุบัน NWR มียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่สูงถึง 36,100 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ซึ่งสามารถรองรับรายได้ถึง 3 ปี ทั้งนี้ปัจจุบันมีงานที่กำลังติดตาม 34,116 ล้านบาท อีกทั้งตั้งแต่ต้นปีได้งานใหม่แล้ว 13,819 ล้านบาท ส่วนปีนี้ตั้งเป้าหมายจะได้งานใหม่ 16,000 ล้านบาท ด้านรายได้ปี 2564 ผู้บริหารตั้งเป้าหมายยอดรับรู้รายได้ 12,000 – 13,000 ล้านบาท เติบโต 20% – 30% แบ่งเป็นงานรับก่อสร้าง 9,200 -10,000 ล้านบาทโต 20% – 30% จำหน่ายผลิตภัณฑ์ คอนกรีต 1,800 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 15% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 500 – 600 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 38% ธุรกิจร้านอาหาร 100 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 32% 

ขณะเดียวกันมีเป้าหมายอัตรากำไรขั้นต้นธุรกิจก่อสร้าง 6% ชะลอตัวจากไตรมาส 1/2564 เท่ากับ 7.4% และดีขึ้นมากจากปีก่อน 4.9% ส่วนแนวโน้มผลประกอบการช่วงที่เหลือจะชะลอตัวลงจากไตรมาส 1/2564 เนื่องจากต้นทุนวัสดุ เช่น เหล็กที่สูงขึ้น โดยบางโครงการ เช่น งานสถานีรถไฟสายสีเหลืองและรถไฟสายสีชมพูจะเป็นช่วงการใช้เหล็กอาจจะทำให้ต้นทุนมากกว่าประมาณการ 

อนึ่งยังคงประมาณการปี 2564 คาดจะมีรายได้รวม 12,550 ล้านบาท เติบโต 27% โดยประเมินจะมีอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง 6% เมื่อรวมกับธุรกิจอื่นๆจะมีอัตรากำไรขั้นต้น 8.4% ดีขึ้นจากปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 6.9% และคาดจะทำให้มีผลประกอบการที่พลิกมามีกำไรเท่ากับ 121 ล้านบาท ซึ่งไม่เด่นนักแต่ดีขึ้นจากปี 2563 ที่ขาดทุน 241 ล้านบาท 

อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยประเมินราคาเป้าหมาย 1.20 บาท ซึ่งใกล้เคียงมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นเพิ่มจากเดิม 0.65 บาท ที่ให้ส่วนลดจากมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น ทั้งนี้ด้วยราคาหุ้นปัจจุบันปรับขึ้นแรงนับจากต้นปี 122%YTD และ ขึ้นมามากกว่าเป้าหมาย ดังนั้นจึงลดเกรดคำแนะนำลงเป็น “ขาย” จากเดิม “ถือ” 

Back to top button