“ดาวโจนส์” ปิดพุ่ง 242.68 จุด ขานรับ “พาวเวล” ยันเฟดไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย

“ดาวโจนส์”ปิดพุ่ง 242.68 จุด ขานรับ "พาวเวล" ยันเฟดไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย แม้จะมีการปรับลดวงเงิน QE ก่อนสิ้นปีนี้ก็ตาม


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 200 จุด เมื่อคืนนี้ (27 ส.ค.64) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดทำนิวไฮเป็นวันที่ 4 ในสัปดาห์นี้ ขานรับถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ยืนยันว่า เฟดจะไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้จะมีการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ก่อนสิ้นปีนี้ก็ตาม

โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,455.80 จุด เพิ่มขึ้น 242.68 จุด หรือ +0.69%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,509.37 จุด เพิ่มขึ้น 39.37 จุด หรือ +0.88% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,129.50 จุด เพิ่มขึ้น 183.69 จุด, +1.23%

ทั้งนี้ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ บวก 1%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 1.5% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 2.8% โดยหุ้น 9 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดบวก โดยกลุ่มพลังงาน เพิ่มขึ้น 2.62% ขณะที่กลุ่มเฮลธ์แคร์และกลุ่มสาธารณูปโภคปรับตัวลง

ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นขานรับนายพาวเวลกล่าวในการประชุมประจำปีของเฟดผ่านทางระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ในวันศุกร์ว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะเริ่มปรับลดวงเงิน QE ก่อนสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ดีการที่เฟดปรับลด QE นั้น ไม่ได้หมายความว่า เฟดจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามมาแต่อย่างใด

โดยเศรษฐกิจสหรัฐได้มาถึงจุดที่ไม่มีความจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากนโยบายการเงินของเฟดอีกต่อไป ซึ่งหมายความว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะเริ่มปรับลดวงเงิน QE ก่อนสิ้นปีนี้ตราบใดที่เศรษฐกิจยังคงมีการขยายตัว

กำหนดเวลาและอัตราการปรับลด QE ไม่ได้เป็นการส่งสัญญาณโดยตรงถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเราจะมีบททดสอบที่เข้มงวดมากขึ้น และแตกต่างออกไป” นายพาวเวลกล่าว

ก่อนหน้านี้ นายพาวเวลได้เคยส่งสัญญาณว่า หากเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็จะเกิดขึ้นหลังจากสิ้นสุดการปรับลด QE เป็นระยะเวลานานพอสมควร

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า การใช้จ่ายส่วนบุคคลของผู้บริโภคสหรัฐ เพิ่มขึ้นเพียง 0.3% ในเดือนก.ค. สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ หลังจากพุ่งขึ้น 1.1% ในเดือนมิ.ย. ขณะที่รายได้ส่วนบุคคลพุ่งขึ้น 1.1% ในเดือนก.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 0.3%

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐยังเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ พุ่งขึ้น 3.6% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2534 สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ หลังจากดีดตัวขึ้น 3.6% เช่นกันในเดือนมิ.ย. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐานเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ค. หลังจากดีดตัวขึ้น 0.5% ในเดือนมิ.ย.

ส่วนดัชนี PCE ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 4.2% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2551 หลังจากเพิ่มขึ้น 4.0% ในเดือนมิ.ย. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE ทั่วไปเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนก.ค.

โดยหุ้นเอ็นวิเดียซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิป ปรับตัวขึ้น 2.6% หลังแหล่งข่าวระบุว่า เอ็นวิเดียมีแนวโน้มที่จะขออนุมัติจากสหภาพยุโรปเพื่อเทคโอเวอร์บริษัทอาร์มซึ่งเป็นบริษัทออกแบบชิปของอังกฤษ

ส่วนหุ้นเวิร์คเดย์ อิงค์ พุ่งขึ้น 9.1% หลังบรรดาโบรกเกอร์ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายของหุ้นเวิร์คเดย์ หลังบริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 สูงเกินคาด

ด้านหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลง เนื่องจากจีนยังคงเดินหน้าควบคุมบริษัทเทคโนโลยี และขู่ที่จะสกัดกั้นการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ โดยหุ้นอาลีบาบา และหุ้นเทนเซ็นต์ มิวสิค เอ็นเทอร์เทนเมนต์ ปรับตัวลง 3.5% และ 1.4% ตามลำดับ

Back to top button