AJ พุ่ง 6% โบรกฯมองกำไรปกติปีนี้แตะ 693 ลบ. รับดีมานด์ฟื้น-ต้นทุนเม็ดพลาสติก PP คงที่

AJ พุ่ง 6% โบรกฯชูเป้า 27 บ. ชี้กำไรปกติปีนี้แตะ 693 ลบ. โต 43% จากดีมานด์ฟื้น-ต้นทุนเม็ดพลาสติก PP ที่ลดความผันผวนลงและเข้าสู่ระดับ Normalized มากขึ้น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (22 ก.ย.2564) ราคาหุ้นบริษัท เอ.เจ.พลาสท์ จำกัด (มหาชน) หรือ AJ ณ เวลา 12.26 น. อยู่ที่ระดับ 21.60 บาท เพิ่มขึ้น 1.30 บาท หรือ 6.40% โดยทำจุดสูงสุดที่ 22.20 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 20.40 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 586.95 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (17 ก.ย.2564) ว่า AJ มี Position ในตลาดแผ่นฟิล์มที่ แข็งแกร่งมาก โดยบริษัทนับเป็นผู้ประกอบการรายเดียวในโลกที่ผลิตแผ่นฟิล์ม BO ครอบคลุมทุกชนิด รวมถึงแผ่นฟิล์มที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างครบวงจร และปัจจุบันมีส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่ม ผู้ผลิตแผ่นฟิล์ม BOPP ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึง 16% นอกจากนี้เนื่องจาก Lead Time ในการสั่งเครื่องจักรผลิตแผ่นฟิล์มปัจจุบันใช้เวลาถึง 40 เดือน ทำให้ฝ่ายวิจัยมองว่าช่วยลดการแข่งขันและโอกาสการเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหม่ในอนาคต อีกทั้งยังเป็นปัจจัยหนุนราคาขายแผ่นฟิล์มของบริษัทอีกด้วย

นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานในประเทศแห่งที่ 2 และเตรียมขยายกำลังการผลิตต่อเนื่องในปี 2565 โดยมีแผนขยาย 3 สายการผลิตใหม่ในกลุ่มแผ่นฟิล์ม Metallized, BOPP, และ BOPET โดยทางฝ่ายวิจัยประเมินกำลังการผลิตของบริษัทในปี 2565 จะเพิ่มขึ้นราว 11% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และในปี 2566 จะเพิ่มขึ้นราว 21% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากกำลังการผลิตปัจจุบันที่ 263,500 ตันต่อปี

สำหรับ JV ในเวียดนามที่บริษัทจัดตั้งร่วมกับ SCG Chemicals ทางฝ่ายวิจัยคาดจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์แผ่นฟิล์ม BOPP ได้ในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 เช่นกัน ซึ่งมีมุมมองบวกโดยนอกเหนือจากประโยชน์ทางด้าน Supply chain ทางฝ่ายวิจัยมองว่าการจับมือดังกล่าวยังเป็นการเปิดทางโอกาสในการขยายสู่ตลาดประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียนร่วมกันในอนาคต

อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยประเมินกำไรปกติ (ไม่รวมรายการพิเศษ เช่น อัตราแลกเปลี่ยน (FX) ) ในปี 2564 อยู่ที่ 693 ล้านบาท เติบโต 43% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และในปี 2565 อยู่ที่ 797 ล้านบาท เติบโต 15% จากงวดเดียวกันของปีก่อน (1) รายได้เพิ่มขึ้น 19% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 10% จากงวดเดียวกันของปีก่อน หนุนโดยภาคการบริโภคที่ฟื้นตัว รวมถึงในปี 2565 คาดจะได้ปัจจัยหนุนจากแผนขยาย 3 สายการผลิตใหม่และการเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ของ JV ในเวียดนาม และ (2) GPM ปรับตัวดีขึ้นเป็น 13.80% และ 14.50% จากปี 2563 ที่ 13.50% ตามอุปสงค์ที่ยังดีต่อเนื่อง และต้นทุนเม็ดพลาสติก PP ที่ลดความผันผวนลงและเข้าสู่ระดับ Normalized มากขึ้น

ทั้งนี้ทางฝ่ายวิจัยแนะนำ “ซื้อ” โดยประเมินราคาเป้าหมายที่ 27.00 บาท อิงปี 2565 ค่า PER ที่ 15 เท่า และ EPS ที่ 1.81 บาท เทียบเท่า 5-yr average PER ของกลุ่ม Packaging ซึ่งมีมุมมองบวกต่อแนวโน้มของ AJ จาก (1) Position ในตลาดแผ่นฟิล์มที่แข็งแกร่งมาก ขณะที่มีแผนขยายกำลังการผลิตต่อเนื่อง ด้านการจับมือกับ SCG Chemicals จะช่วยเปิดทางโอกาสขยายตลาดประเทศอื่นๆ ร่วมกันในอนาคต (2) ประเมินกำไรปกติในช่วง 2 ปี ข้างหน้าจะอยู่ในทิศทางขยายตัวสูง 28% (CAGR ปี 2563 – 2565) และ (3) Valuation น่าสนใจมากเทรดที่ปี 2565 ค่า PER เพียง 11 เท่า ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม

 

 

Back to top button