APURE พุ่ง 5% โบรกฯชูเป้า 10.60 บ. ชี้กำไร Q3 โต 40% รับบาทอ่อนค่า-ดีมานด์ตปท.หนุน

APURE พุ่ง 5% โบรกฯชูเป้า 10.60 บ. ชี้กำไรไตรมาส 3 โต 40% แตะ 96 ลบ. รับบาทอ่อนค่าและกลุ่มลูกค้าที่ไม่ได้ปลูกข้าวโพดเพื่อบริโภคในประเทศหนุน อีกทั้งคาดกำไรพิเศษจากการจำหน่ายหุ้นซื้อคืนจะสามารถบุ๊กได้ในไตรมาสนี้และต่อเนื่องถึงไตรมาสหน้า 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (12 ต.ค. 2564) ราคาหุ้นบริษัท อกริเพียว โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APURE ณ เวลา 12:24 น. อยู่ที่ระดับ 8.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท หรือ 4.88% โดยทำจุดสูงสุดที่ 8.70 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 8.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 85.45 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์เอเชีย เวลท์ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ (8 ต.ค. 2564) โดยทางฝ่ายวิจัยคาดว่าผลประกอบการกำไรสุทธิไตรมาส 3/2564 อยู่ที่ 96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 19% จากไตรมาสก่อน และคาดกำไรพิเศษจากการจำหน่ายหุ้นซื้อคืนอีก 59 ล้านบาท ทำให้กำไรสุทธิรวม เป็น 155 ล้านบาท โดยคาดรายได้รวมอยู่ที่ 695 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อน หนุนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าราว 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และกลุ่มลูกค้าที่ไม่ได้ ปลูกข้าวโพดเพื่อบริโภคในประเทศ เช่น ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวัน ซึ่งยังมีการนำเข้าข้าวโพดหวานต่อเนื่อง

ขณะที่ลูกค้าที่มีการปลูกข้าวโพดในประเทศคาดว่าจะเริ่มหันไปบริโภคข้าวโพดในประเทศมากขึ้น จากผลกระทบจากการขนส่งที่ยากลำบากและค่าระวางเรือที่ปรับตัวสูงขึ้น ในด้านอัตรากำไรขั้นต้น ทางฝ่ายวิจัยประเมินว่าในไตรมาส 3/2564 จะอยู่ที่ระดับ 31.10% สูงกว่าไตรมาส 2/2564 ที่ 30.70% จากค่าเงินบาทอ่อนค่า ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร คาดอยู่ที่ 99 ล้านบาท ใกล้เคียงช่วงไตรมาส 2/2564 ที่ 96 ล้านบาท

อีกทั้งบริษัทรายงานผลการจำหน่ายหุ้นซื้อคืนผ่านตลาดหลักทรัพย์ ในวันที่ 29 – 30 ก.ย. 2564 จำนวน 7.70 และ 2.30 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 61.60 และ 17.70 ล้านบาท และในวันที่ 5 – 6 ต.ค. 2564 จำนวน 9.00 และ 9.60 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 65.10 และ 74.30 ล้านบาท ซึ่งครบจำนวน 28.60 ล้านหุ้น และประกาศสิ้นสุดโครงการจำหน่ายหุ้นซื้อคืน โดยทางฝ่ายวิจัยคาดว่ากำไรจากการจำหน่ายหุ้นซื้อคืนจะถูกบันทึกเป็นกำไรพิเศษในไตรมาส 3/2564 ที่ 59 ล้านบาท และไตรมาส 4/2564 ที่ 102 ล้านบาท

สำหรับเบื้องต้นทางฝ่ายวิจัยประเมินว่าไตรมาส 4/2564 บริษัทยังคงได้รับผลกระทบจากค่าระวางเรือที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้กลุ่มลูกค้ามีต้นทุนสินค้าสูงขึ้น ทั้งนี้ลูกค้าของบริษัทบางกลุ่มเริ่มมีการปรับตัวจากต้นทุนสินค้าที่สูงขึ้นโดยการขอขึ้นราคาขายสินค้า ขณะที่ลูกค้าบางกลุ่มหันไปซื้อสินค้าในประเทศมากขึ้น ทำให้ทางฝ่ายวิจัยประเมินว่าผลประกอบการไตรมาส 4/2564 ของบริษัทจะชะลอตัวลงเล็กน้อย และคาดจะกลับมาเติบโตในช่วงไตรมาส 2/2565 หลังจากค่าระวางเรือปรับตัวลดลง

อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยยังมีมุมมองเป็นบวกต่อผลประกอบการในปี 2565 ที่คาดจะเติบโตโดดเด่น จากทั้งการขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาต่อเนื่องและออเดอร์ที่ยังค้างส่งกว่า 30% ซึ่งหากสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย ทำให้โรงแรม โรงเรียน และร้านอาหาร กลับมาเปิดเป็นปกติ คาดจะหนุนให้ข้าวโพดกระป๋องขนาดใหญ่เติบโตมากขึ้น

นอกจากนี้แผนการทำโครงการต่างๆ เช่น การทำสินค้าข้าวโพดแช่แข็ง การจัดการต้นทุนค่ากระป๋องบรรจุภัณฑ์จะเป็น Upside ต่อผลประกอบการในอนาคต ซึ่งราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาจากการจำหน่ายหุ้นซื้อคืนและสิ้นสุดโครงการดังกล่าวแล้ว ทางฝ่ายวิจัยมองเป็นโอกาสในการลงทุน โดยให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 10.60 บาท (อิง PER 18.30 เท่า)

 

Back to top button