ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ 5 พันลบ. “TPIPP” ที่ BBB+ แนวโน้ม Stable

ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ 5 พันลบ. “TPIPP” ที่ BBB+ แนวโน้ม Stable สะท้อนกระแสเงินสดมั่นคง


บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 5 พันล้านบาท ของบริษัทที่ระดับ “BBB+” ด้วย

ทั้งนี้ อันดับเครดิตของหุ้นกู้ชุดใหม่ใช้แทนอันดับเครดิตหุ้นกู้เดิมที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2564 เนื่องจากบริษัทมีความประสงค์ที่จะลดวงเงินของหุ้นกู้จากไม่เกิน 8 พันล้านบาท เป็น 5 พันล้านบาท โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้รับบางส่วนไปใช้ไถ่ถอนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนด และสำหรับการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานขยะจำนวน 2 โรงที่บริษัทเพิ่งชนะการประมูล

โดยอันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่แน่นอนและมั่นคงของบริษัทซึ่งได้รับจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreements — PPA) ที่มีกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และข้อได้เปรียบในการแข่งขันด้านต้นทุนเชื้อเพลิงของบริษัท

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนลงจากความเสี่ยงด้านการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ (Refuse-derived Fuel — RDF) และกำไรที่จะลดลงจากการหมดอายุของส่วนเพิ่มของค่าไฟฟ้า (Adder) นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงแนวโน้มสัดส่วนภาระหนี้สินของบริษัทที่จะสูงขึ้นและความเสี่ยงจากการลงทุนใน “โครงการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ” (Special Economic Zone — SEZ) อีกด้วย

ด้านอันดับเครดิตของบริษัทมีกรอบจำกัดอยู่ที่ระดับ “BBB+” ซึ่งเป็นอันดับเครดิตของบริษัทแม่ โดยบริษัทเป็นบริษัทย่อยหลักของ บมจ.ทีพีไอ โพลีน (TPIPL) (ได้รับอันดับเครดิต “BBB+/Stable” จากทริสเรทติ้ง) ทั้งนี้ สถานะเครดิตเฉพาะของบริษัทโดยไม่รวมบริษัทแม่ (Stand-alone Company Profile) ยังคงอยู่ที่ระดับ “A” ซึ่งสะท้อนถึงสถานะเครดิตที่แข็งแกร่งกว่าของบริษัทแม่

โดยผลประกอบการทางการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง โดยได้รับการสนับสนุนจากผลกำไรที่มั่งคงของโรงไฟฟ้าของบริษัท รวมถึงสัดส่วนภาระหนี้สินทางที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ การปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้นั้นค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นและทำให้บริษัทมีผลกำไรเพิ่มสูงขึ้น โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 รายได้ของบริษัทอยู่ที่ 5.57 พันล้านบาท คิดเป็นเติบโต 4.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า กำไรก่อน หักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 2.9 พันล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.7% เมื่อเทียบปีต่อปี อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA ยังคงต่ำอยู่ที่ประมาณ 2 เท่าในเดือนมิถุนายน 2564

ด้านทริสเรทติ้งมองว่าภารกิจหลักของบริษัทในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้ายังคงเป็นการสร้างกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ให้เพียงพอเพื่อชดเชยผลกำไรที่จะลดลงจากการหมดอายุของส่วนเพิ่มของค่าไฟฟ้า โดยในปัจจุบัน บริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับทาง กฟผ. จำนวน 3 ฉบับ โดยมีกำลังการผลิตตามสัญญารวม 163 เมกะวัตต์และได้รับส่วนเพิ่มของค่าไฟฟ้าที่ 3.5 บาทต่อหน่วย โดยส่วนเพิ่มของค่าไฟฟ้าของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสองฉบับแรกจำนวน 73 เมกะวัตต์นั้นจะเริ่มหมดอายุในปี 2565 ในขณะเดียวกัน ส่วนเพิ่มของค่าไฟฟ้าของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าฉบับที่สามจำนวน 90 เมกะวัตต์ก็จะหมดอายุในปี 2568 เป็นต้นไป

บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะแสวงหาการลงทุนใหม่ ๆ ทั่วประเทศเพื่อเติมเต็มกำไรที่จะเริ่มลดลงในไม่อีกกี่ปีข้างหน้า บริษัทชนะการประมูลในโรงไฟฟ้าพลังงานขยะจำนวนสองโรงที่จังหวัดสงขลา และจังหวัดนครราชสีมา โดยโรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งได้รับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ 7.92 และ 9.9 เมกะวัตต์ตามลำดับ นอกจากนี้ บริษัทกำลังวางแผนจะเข้าร่วมในการประมูลสัญญาซื้อขายไฟฟ้าใหม่หลายรายการ และกำลังเสนอการขายกำลังการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ RDF ขนาด 40 เมกะวัตต์ของบริษัทเองให้แก่หน่วยงานภาครัฐอีกด้วย

ในขณะเดียวกัน บริษัทก็ยังคงพัฒนาโครงการพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษที่จังหวัดสงขลาอยู่เช่นกัน โดยทริสเรทติ้งเชื่อว่าความสำเร็จของโครงการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษจะมีบทบาทสำคัญในการยกระดับกระแสเงินสดของบริษัทให้สูงขึ้นและมีความยั่งยืนยิ่งขึ้น โดยผู้บริหารของบริษัทคาดว่าบริษัทน่าจะสร้าง EBITDA เพิ่มเติมได้ประมาณ 2 หมื่นล้านบาทต่อปีเมื่อโครงการดังกล่าวนั้นเสร็จสมบูรณ์

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในโครงการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษดังกล่าวส่งผลให้บริษัทจะต้องเผชิญความเสี่ยงหลายประการ ความเสี่ยงที่โครงการจะล่าช้านั้นยังคงเป็นความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ในประเทศที่ยังคงยืดเยื้อ อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรียังคงยืนยันความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการพัฒนาโครงการดังกล่าวและให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ดำเนินการต่อโดยยึดมติคณะรัฐมนตรีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป

ทั้งนี้ บริษัทกำลังเข้าซื้อที่ดินในบริเวณพื้นที่ที่คาดว่าจะทำการพัฒนาโครงการ โดยบริษัทได้เข้าซื้อที่ดินเพิ่มมากขึ้นส่งผลให้ต้นทุนค่าที่ดินเพิ่มขึ้นเป็น 1.5-1.6 หมื่นล้านบาท โดย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2564 บริษัทได้ชำระเงินค่าที่ดินเรียบร้อยแล้วจำนวน 9.59 พันล้านบาท และคาดว่าจะจ่ายเงินส่วนที่เหลือในปี 2564-2565 นี้ ทริสเรทติ้งมองว่าการเข้าซื้อที่ดินล่วงหน้าโดยใช้เงินกู้ส่งผลให้บริษัทมีภาระดอกเบี้ยที่มากขึ้นซึ่งจะทำให้งบการเงินนั้นอ่อนแอลงเป็นระยะเวลานาน นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าสัดส่วนภาระหนี้สินของบริษัทน่าจะเพิ่มสูงขึ้นในไม่กี่ปีข้างหน้าเนื่องจากโครงการมีขนาดใหญ่มาก ดังนั้น ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทน่าจะจำเป็นต้องแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความสามารถหรือจัดทำแผนการเงินที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงภาระหนี้ที่สูงต่อไป

โดยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าการดำเนินงานโรงไฟฟ้าของบริษัทจะยังคงสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงในระยะยาว นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะได้สัญญาภายใต้โครงการโรงไฟฟ้าใหม่ ๆ ซึ่งจะมีส่วนช่วยชดเชยกระแสเงินสดที่ลดลงหลังจากส่วนเพิ่มของค่าไฟฟ้าหมดอายุลงได้บางส่วน และจะทำให้ผลการดำเนินงานและอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินของบริษัทเป็นไปตามที่ทริสเรทติ้ง คาดการณ์ไว้ ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทย่อยหลักของบริษัท ทีพีไอ โพลีน นั้นจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

ส่วนปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง คือ โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทมีจำกัดในระยะสั้น เนื่องจากทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะเข้าสู่รอบการลงทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานขยะแห่งใหม่ ๆ และโครงการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ อย่างไรก็ตาม โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตก็อาจจะเกิดขึ้นได้หากกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งกรณีดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทสามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าบริษัทได้ประโยชน์จากโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าและได้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าฉบับใหม่ ๆ

ในทางกลับกัน การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ หรือหากบริษัทมีการลงทุนที่ใช้เงินกู้จำนวนมากซึ่งส่งผลให้สถานะทางการเงินรวมของกลุ่มถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตยังอาจได้รับการปรับลดลงหากทริสเรทติ้งปรับลดอันดับเครดิตของบริษัท ทีพีไอ โพลีนลง

Back to top button