TRUE วิ่ง 3% โบรกฯแนะ “เก็งกำไร” คาด Q4 ฟื้นรับรายได้ลูกค้าเติมเงินเพิ่ม-ขาดทุนลดลง

TRUE วิ่ง 3% โบรกฯแนะ “เก็งกำไร” คาด Q4 ฟื้นรับรายได้ลูกค้าเติมเงินเพิ่ม-ขาดทุนลดลงต่อเนื่องจนถึงปี 2565 คาดว่ารายได้จากลูกค้าองค์กร มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวในอีก 2-3 ป้างหน้า จากการขยายบริการระดับบนมากขึ้น และเชื่อมต่อกับอุตสาหกรรมที่หลากหลายมากขึ้น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (18 พ.ย. 64) ราคาหุ้นของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE โดย ณ เวลา 15:23 น. อยู่ที่ระดับ 4.38 บาท เพิ่มขึ้น 0.14 บาท หรือ 3.30% โดยทำจุดสูงสุดที่ 4.40 บาท และต่ำสุดที่ 4.16 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 3.25 พันล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 64 ว่าฝ่ายวิจัยเห็นแนวโน้มที่เป็นสัญญาณเชิงบวกของการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศจากการคลายล็อกดาวน์ในเดือน ก.ย. และการเปิดประเทศในเดือน พ.ย. และผลกระทบดังกล่าวต่อการฟื้นตัวของรายได้บริการพรีเพดเนื่องจากผู้คนเดินทางกลับจากต่างจังหวัดเข้ามายังตัวเมือง และใช้บริการของทรูมูฟเอชมากขึ้นหลังจากการเปิดประเทศ

นอกจากนี้ ยังเห็นสัญญาณบวกจากการปรับขึ้นอัตราค่าบริการพรีเพดในบางพื้นที่ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนรายได้เฉลี่ยต่อเลขหมายต่อรายของลูกค้าระบบพรีเพดสำหรับในส่วนของตลาดโพสต์เพด อัตราค่าบริการโดยรวมยังคงไปตามอุตสาหกรรมด้วยเป้าหมายคือ การย้ายกลุ่มลูกค้าพรีเพดไปเป็นลูกค้าโพสต์เพด และการย้ายกลุ่มลูกค้าโพสต์เพดปัจจุบันไปเป็นลูกค้า 5 จีด้วยการนำเสนอคอนเท้นต์ที่เพิ่มขึ้นบวกกับการบันเดิ้ลสินค้าหรือบริการภายในกลุ่มทรูด้วยกันมากขึ้นสำหรับบริการ 5 จี

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าผู้ใช้บริการ 5 จีสะสมที่ 2 ล้านราย ณ สิ้นปี 2564 และจำนวนมากกว่า 4 ล้านราย ณ สิ้นปี 2565 (เพิ่มขึ้นจาก 1.5 ล้านราย ณ สิ้นไตรมาส 3/2564) ซึ่งอัตราการเข้าถึงบริการ 5 จีมี แนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 2565 เนื่องจากการเปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่นที่สามารถรองรับ 5 จีในราคาถูกที่ต่ำกว่า 6,000 บาทในไตรมาส 2/65 ฝ่ายวิจัยยังคงเห็นสัญญาณบวกจากการปรับเพิ่มขึ้นของรายได้ต่อเลขหมายต่อเดือนอีก 10-15% จากบริการ 5 จี

นอกจากนี้ ยังคงมีเฉพาะเครื่องโทรศัพท์มือถือรุ่น 5 จี ในระดับพรีเมี่ยมจนถึงระดับกลางอยู่ในตลาดขณะนี้ ฝ่ายวิจัยมองว่าขาดทุนหลักจำนวนมากในไตรมาส 3/2564 มีแนวโน้มเป็นจุดต่ำสุดก่อนที่จะฟื้นตัวในไตรมาส 4/2564 และต่อเนื่องไปในปี 2565 และด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการอินเตอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (หรือการที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สามารถเชื่อมโยงหรือส่งข้อมูลถึงกันด้วยอินเตอร์เน็ตโดยไม่ต้องป้อนข้อมูล) และการให้บริการดิจิทัลครบวงจรบวกกับลูกค้าองค์กร (B-to-B) และพันธมิตรทางธุรกิจที่หลากหลายและหลายกลุ่ม

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยจึงคาดว่ารายได้จากลูกค้าองค์กรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวในอีก 2-3 ปีข้างหน้า (เทียบกับอัตราการเติบโตที่ 10-15% ในปี 2564) ซึ่งจะมีปัจจัยหนุนจากการขยายไปสู่บริการระดับบนมากขึ้น และการเชื่อมต่อเครือข่ายให้กับภาคอุตสาหกรรมที่หลากหลายมากขึ้น เช่น เกษตรกรรม (การเกษตรอัจฉริยะ) การค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์ (การบริหารจัดการธุรกิจดิจิทัล) หุ่นยนต์ ผู้บริโภคในส่วนภาคประชาชน (การอยู่อาศัยแบบอัจฉริยะ) การให้บริการระบบคลาวด์ และบริการด้านความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ และเนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทสำหรับธุรกิจลูกค้าองค์กรที่สูงถึง 70% บวกกับการลดต้นทุนผ่านการเปลี่ยนระบบไปสู่ดิจิทัลในส่วนของพนักงาน ช่องทางจำหน่ายค้าปลีก การขายและช่องทางการทำตลาด การเช่าสำนักงาน การเรียกเก็บเงินและการชำระเงิน ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดว่าธุรกิจลูกค้าองค์กรจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนรายได้และกำไรในอีก 5 ปีข้างหน้าสำหรับกลุ่มทรู คาดว่าจะเห็นผลบวกจากต้นทุนที่จะยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องจากการปรับโครงสร้างต้นทุนในอีกไตรมาสถัดๆ ไป

นอกจากนี้ ผู้บริหารปฏิเสธที่จะให้ความเห็นหรือคาดเดาสำหรับประเด็นข่าวลือเรื่องการควบรวมกิจการระหว่าง TRUE และ DTAC ที่กลับมาใหม่ในตลาดอีกครั้ง แต่ถ้ารูปแบบการควบรวมกิจการอยู่ในรูปของการแลกหุ้นแทนการซื้อโดยจ่ายเป็นเงินสด เราเชื่อว่าดีลการควบรวมกิจการอาจจะเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า โดยไม่ต้องมีการจ่ายชำระเป็นเงินสดจากทางฝั่ง TRUE ซึ่งฝ่ายวิจัยมองว่าดีลการควบรวมกิจการข้างต้นถือว่าเป็นทางออกที่ดีสำหรับทั้ง DTAC และ TRUE

รวมทั้งจะส่งผลบวกต่อผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือในระยะยาวจากการแข่งขันด้านราคาที่มีแนวโน้มลดลง DTAC จะสามารถเข้าถึงแพล็ตฟอร์มบริการคอนเวอร์เจ้นซ์ของ TRUE และเข้าถึงธุรกิจบรอดแบรนด์บ้านรวมถึงธุรกิจทีวีบอกรับสมาชิกหรือเพย์ทีวี รวมถึงคอนเท้นต์ของ TRUE ในขณะที่ TRUE จะมีส่วนแบ่งตลาดของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เพิ่มขึ้นโดยทางอ้อมผ่านการควบรวมกิจการ

Back to top button