ERW กางแผนปี 65 ทุ่ม 800 ลบ. พัฒนา 9 โรงแรม-ลุย HOP INN ปักธงปี 68 พอร์ตแตะ 40%

ERW กางแผนปี 65 ทุ่ม 800 ลบ. พัฒนา 9 โรงแรม-ลุย HOP INN เต็มสูบ ปักธงปี 68 พอร์ตแตะ 40% มั่นใจผลงานโตกว่าปีก่อน บุ๊กขายโรงแรม 3 แห่ง คาดปิดดีลไตรมาส 2/65


นางสาววรมน อิงคตานุวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 18 ก.พ.65 ว่า ผลประกอบการไตรมาส 4/64 เป็นไตรมาสที่มีผลการดำเนินงานที่ดีที่สุดของปี 2564 จากการฟื้นตัวที่ดีขึ้นอย่างมากของสถานการณ์การท่องเที่ยวในประเทศไทย และการผ่อนคลายมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศไทยและอัตราการฉีดวัคซีนของประชากรภายในประเทศซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 3/64

นอกจากนี้มาตรการสนับสนุนการเดินทางท่องเที่ยวจากรัฐบาล เช่น โครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” เฟส3 ที่ได้เริ่มตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา ส่งผลให้การเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วงไตรมาส 4/64 มีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะมีการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในช่วงปลายไตรมาส 4/64

โดยบริษัทฯมีรายได้รวมจากการดำเนินงานเท่ากับ 619 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากไตรมาส 4/63 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 173 จากไตรมาส 3/64 ขณะที่บันทึกขาดทุนก่อนดอกเบี้ยภาษีเงินได้และค่าเสื่อมราคา (“EBITDA”) เท่ากับ 47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 29 ล้านบาท ในไตรมาส 4/63 แต่ลดลงจากผลขาดทุน 243 ล้านบาท ในไตรมาส 3/64 บริษัทฯบันทึกขาดทุนก่อนรายการพิเศษเท่ากับ 371 ล้านบาท ใกล้เคียงกับผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/63 และเป็นผลขาดทุนรายไตรมาสที่น้อยที่สุดในปี2564

สำหรับปี 2564 บริษัทฯมีรายได้รวมจากการดำเนินงานเท่ากับ 1,485 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 36 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และบันทึกขาดทุนก่อนดอกเบี้ยภาษีเงินได้และค่าเสื่อมราคา (“EBITDA”) เท่ากับ 652 ล้านบาท ส่งผลในปี 2564 บันทึกขาดทุนสุทธิเท่ากับ 2,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากขาดทุนสุทธิจำนวน 1,715 ล้านบาท ในปี2563

ส่วนแนวโน้มธุรกิจในปี 2565  มองว่าเริ่มปัจจัยบวกเข้ามา อาทิ จำนวนประชากรโลกได้รับวัคซีนไปเกิน 50% ส่งผลให้หลายประเทศในยุโรปและเอเชียเริ่มที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยว โดยประเทศในเอเชียเริ่มเปิดนักท่องเที่ยวมากขึ้น เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดมาเลย์ นอกจากนี้หลายประเทศเริ่มที่จะพิจารณาให้ “โควิด-19” เป็นโรคประจำถิ่นก็ถือเป็นผลดี ขณะเดียวกันอุปสงค์ในประเทศคาดว่าปีนี้จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวของรัฐบาล

ขณะที่ภาพรวมตัวเลขนักท่องเที่ยวในปีนี้จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คาดว่านักท่องเที่ยวในประเทศจะอยู่ที่ 160 ล้านคน/ครั้ง ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อนเกิดสถานการณ์โควิดในปี 2562 ขณะที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้คาดว่าอยู่ประมาณ 10 ล้านคน ซึ่งเป็นสัดส่วนกว่า 25% เทียบปี 2562 อยู่ที่ 40 ล้านคน

สำหรับปี 2565 ตั้งงบลงทุนประมาณ 800 ล้านบาท สำหรับ 9 โรงแรมใหม่และบำรุงรักษาโรงแรมที่มีทั้งหมด ส่วนกลุ่มโรงแรมกำลังก่อสร้างและคาดว่าจะเปิดบริการได้ในช่วงปีนี้-ถึงต้นปีหน้ามีทั้งหมด 9 โรงแรมมีจำนวนห้องทั้งหมด 1,045 ห้อง โดยคาดว่าปีนี้จะมีโรงแรมทั้งหมด 81 แห่ง จาก 74 แห่ง ณ สิ้นปี 2564 และมีจำนวนห้องเพิ่มเป็น 10,719 ห้อง ภายในสิ้นปี 2565 สำหรับปีนี้มีแผนเปิดให้บริการโรงแรมใหม่ 9 แห่ง แบ่งเป็น ในฟิลิปปินส์ 2 แห่ง และในประเทศไทย 7 แห่ง

สำหรับกลยุทธ์สร้างความแข็งแกร่งให้กับสถานะการเงินของบริษัทในปีนี้ช่วงไตรมาส 1/2565 อยู่ระหว่างการทำธุรกรรมขาย 3 โรงแรม ได้แก่ IBIS Style Krabi, IBIS Kata และ IBIS Hua Hin  ซึ่งจุดประสงค์ของการขายโรงแรมในครั้งนี้ก็เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างทางการเงิน เพื่อให้เหมาะสมกับการขยายงานในอนาคตตามแผนที่ตั้งเป้าไว้ รวมถึงการปรับพอร์ตการลงทุนของบริษัทพึ่งพิงตลาดในประเทศมากขึ้น โดยคาดดีลนี้จะเสร็จสิ้นในไตรมาส 2/2565

นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้าปรับพอร์ตการลงทุนในโรงแรมกลุ่ม Hop Inn มากขึ้นจากปัจจุบันอยู่สัดส่วนอยู่ที่ 10% เป็นมากกว่า 40%  ภายในปี 2568 เนื่องจากต้องการเพิ่มสัดส่วนที่มาจากภายในประเทศลดการพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างประเทศ เนื่องจากที่ผ่านมากลุ่ม Hop Inn ได้พิสูจน์แล้วว่ามีความอ่อนไหวต่อสถานการณ์น้อย และการฟื้นตัวกลับมาได้เร็วกว่าเซกเมนต์อื่นๆ

ขณะเดียวกันบริษัทยังให้ความสำคัญคือเรื่องของการสร้างสถานการณ์เงินที่แข็งแกร่งและให้ความสำคัญในเรื่องของการควบคุมต้นทุนและเน้นในเรื่องของการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และเชื่อว่าในแง่ของธุรกิจจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวค่อนข้างชัดเจนมากขึ้น และคาดว่างปีนี้ตลาดหลักอาจจะเป็นนักท่องเที่ยวในประเทศ ส่วนตลาดต่างชาติเริ่มฟื้นตัวช่วงครึ่งปีหลัง รวมถึงจะเน้นของการขยาย Business Model เช่นมีแผนเพิ่มจำนวน Hop Inn ผ่านระบบ Franchise โดยจะเริ่มในประเทศก่อน และให้ความสำคัญเรื่องของการเติบโตอย่างยั่งยืนพร้อมกับความรับผิดชอบต่อสังคม

ส่วนแนวโน้มผลประกอบการปี 2565 คาดว่าเติบโตมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยในแง่ของสถานการณ์อุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังไม่กลับไปเหมือนปี 2562 คาดว่าใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี ส่วนสถานการณ์สงครามรัสเซียและยูเครน เบื้องต้นอาจจะกระทบในภาพของกลุ่มนักท่องเที่ยวรัสเซีย แต่ปัจจุบันตลาดหลักยังเป็นตลาดลูกค้าคนไทย เพราะว่าตลาดลูกค้าต่างชาติมีการฟื้นตัวช้า ในปีนี้จึงเน้นกลยุทธ์ตลาดในประเทศมากขึ้น

Back to top button