“ฟินันเซีย” จัด 9 หุ้นท็อปพิก Q2 รับศก.ฟื้น-ฟันด์โฟว์ไหลเข้า ชู BCP-CPN-IVL เด่น

บล.ฟินันเซีย ไซรัส จัด 9 หุ้นท็อปพิก Q2 รับศก.ฟื้น-ฟันด์โฟว์ไหลเข้า ชู BCP-CPALL-CPN-IVL-JR-ORI-OSP-SHR-TTB เด่น


บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ FSS ระบุในบทวิเคราะห์ (31 มี.ค.2565) โดยประเมินว่าไตรมาส 2 ปี 2565 เป็นช่วงสำคัญสำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุน โดยเฉพาะแรงกดดันจากสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงดำเนินอยู่ รวมถึงนโยบายการเงินของ FED ที่จะตึงตัวเร็วขึ้นจากแรงกดดันของเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งหากสงครามยุติหรือผ่อนคลายลงจะทำให้หนุนบรรยากาศการลงทุน แต่ในทางกลับกันหากยืดเยื้อจะส่งผลกระทบเศรษฐกิจชัดเจนมากขึ้น

ขณะที่ประมาณการเศรษฐกิจทั่วโลกถูกทยอยปรับลงจากผลของสงคราม ฝั่งสหรัฐฯล่าสุด FED ปรับลด GDP ปี 2565 ลงเหลือ 2.8% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา ในส่วนของพื้นที่ยูโรโซนคาดถูกปรับลงเหลือระดับ +-3%  ซึ่งกดดันให้ GDP โลกคาดถูกปรับลงเหลือ +-3.5% อย่างไรก็ตามในส่วนของไทยล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย ปรับลด GDP จากบวก 3.4% เหลือ บวก 3.2% ซึ่งปรับลงน้อยกว่าตลาดคาด ขณะที่ปี 2566 คาดเร่งตัวขึ้นเพิ่มขึ้น 4.4% จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวโดยภาพรวมถือว่าการเติบโตยังแข็งแรงกว่าภูมิภาคอื่นๆ

โดยการเติบโตหลักๆยังมาจากในประเทศที่ฟื้นตัวหลัง Lockdown หลายรอบปีก่อน และในส่วนของการระบาดของโอมิครอนจะกระทบในอัตราที่น้อย เนื่องจากไม่มีมาตรการคุมเข้ม อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นแรงกระทบต่อกำลังในการซื้อสินค้าที่จำเป็นอื่นๆ ทำให้การบริโภคอาจมีผลกระทบในบางส่วนซึ่งจะสะท้อนไปยัง SSSG ของบริษัทที่จดทะเบียน แต่การส่งออกยังคงแข็งแรงแต่ฐานปีก่อนค่อนข้างสูง ขณะที่การลงทุนภาครัฐจำเป็นต้องเร่งตัวเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาวเช่นเดียวกับภาคการท่องเที่ยวที่จะหนุนชัดเจนในไตรมาสที่ 4/2565 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ FED จะเร่งขึ้นดอกเบี้ยและเริ่มลดขนาดงบดุลในการประชุมเดือน พ.ค. 2565 ฝ่ายวิจัยมองว่าจะเกิดการกระทบน้อยในแง่กระแสเงินทุนเนื่องจากต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยราว 6 แสนล้านบาทในปี 2561-2565 และทำให้สัดส่วน Foreign Holding ลดลงจากระดับกว่า 30% เหลือ 26%

ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่เร่งตัว เชื่อว่ากระแสเงินทุนจะยังไหลเข้าในระยะกลาง-ยาวหลัง จากต้นปีจนถึงปัจจุบัน ซื้อสุทธิกว่า 1 แสนล้านบาท ส่วนประเด็นภาวะที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้นสูงกว่าผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุยาว จึงต้องคอยระวังหากลดลงต่อเนื่องติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน แต่หากสงครามจบได้เร็วจะทำให้ประเด็นนี้คลี่คลาย

สำหรับในปัจจุบันฝ่ายวิจัยยังคง SET Target ที่ 1,770 จุด โดยมี Upside เทียบกับดัชนีปัจจุบันเพียง 4.2% ซึ่งไม่กว้างนัก ขณะที่ Earnings Yield Gap ปัจจุบันค่อนข้างแคบ อยู่ที่ 3.1% ทำให้ในเชิงกลยุทธ์ต้อง Selective มากขึ้นและเน้นหุ้นที่ Valuation ยังต่ำเทียบกับก่อน COVID-19 ฝ่ายวิจัยยังชอบกลุ่ม Value และ Domestic Play ที่ฝ่านวิจัยเลือก Top Pick ในช่วงไตรมาสที่ 2/2565 ได้แก่ BCP,CPALL,CPN ,IVL,JR,ORI,OSP,SHR,TTB

Back to top button