TCMC พุ่งแรง 11% กางแผนครึ่งปีหลัง รุกขยายตลาดส่งออก ดันปีนี้เทิร์นอะราวด์

TCMC พุ่งแรง 11% กางแผนครึ่งปีหลัง รุกขยายตลาดส่งออก-เล็งหาธุรกิจใหม่ ดันผลงานปีนี้เทิร์นอะราวด์


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (15 ก.ย.65) ราคาหุ้นบริษัททีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด มหาชน  หรือ TCMC ณ เวลา 15:43 น. อยู่ที่ระดับ  1.94 บาท บวก 0.20 บาท หรือ 11.49% สูงสุดที่ระดับ 1.99 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.74 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 76.00 ล้านบาท

โดยก่อนหน้านี้นางสาวปิยพร พรรณเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TCMC เปิดเผยว่า จากการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปีนี้แสดงให้เห็นว่าบริษัทได้พยายามอย่างเต็มที่ในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างราบรื่นก้าวพ้นอุปสรรค ความเปลี่ยนแปลงและปัจจัยท้าทายต่าง ๆ เพื่อให้สามารถสร้างรายได้และสร้างผลกำไรให้บริษัทและผู้ถือหุ้น โดยในครึ่งปีหลังบริษัทมุ่งมั่นที่จะขยายทั้งตลาดส่งออกและตลาดในประเทศ เข้าสู่ตลาดใหม่ตามแผนการดำเนินธุรกิจที่ได้วางไว้

ในส่วนของตลาดเก่าบริษัทก็ยังคงให้ความสำคัญตามการฟื้นตัวของกำลังซื้อ แม้จะกังวลกับภาวะเงินเฟ้อและต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ทางกลุ่มธุรกิจของเราก็ยังคงมั่นใจที่จะออกสินค้าและบริการใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการให้กับลูกค้าอย่างครอบคลุมในทุกกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการพัฒนาสู่ความยั่งยืน ซึ่งบริษัทได้ให้ความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม  โดยบริษัทอยู่ในกระบวนการจัดเตรียมความพร้อมเพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กร NET ZERO

“TCMC เชื่อมั่นว่ากลุ่มบริษัทจะสร้างรายได้ที่เติบโตและสร้างผลกำไรให้บริษัทและผู้ถือหุ้น ในช่วงครึ่งหลังของปีอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการผลิต มองหาโอกาส และมุ่งสู่ธุรกิจใหม่ๆ เพื่อการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด มุ่งสู่การเป็นองค์กรชั้นนำระดับโลกที่พร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน” 

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2/65 มีรายได้จากการขายและบริการจำนวน 2,384.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 1,746.99 ล้านบาท คิดเป็น 36.49% และมี EBITDA จำนวน 124.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 53.95% ส่งผลให้มีผลประกอบการเป็นกำไรสุทธิ 6.38 ล้านบาท พลิกจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 37.70 ล้านบาท 

“ปัจจัยของการเติบโตและผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี เป็นผลจากตลาดที่เริ่มฟื้นกลับมาหลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย โดยเฉพาะการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในประเทศจากการปลดล็อกการเดินทางเข้าประเทศ ที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้าไทยกว่า 6 ล้านคนในปีนี้ และต่างประเทศ ที่สายการบินระหว่างประเทศต่างๆ กลับมาให้บริการเป็นปกติ ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจในกลุ่มวัสดุปูพื้นเติบโตตามตลาดท่องเที่ยวและโรงแรม ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของธุรกิจ รวมถึงความพยายามในการเปิดตลาดใหม่ในช่วงสองปีที่ผ่านมาเริ่มส่งผล

อย่างไรก็ตามยังคงต้องจับตาดูกับปัจจัยท้าทายทั้งจากต้นทุนวัตถุดิบ และค่าขนส่งที่สูงขึ้นต่อเนื่อง อันเป็นผลจากอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกและสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างยูเครน-รัสเซีย รวมถึงสถานการณ์ตลาดที่บางส่วนยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่องมาจากโควิด-19 โดยเฉพาะกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ และกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่ส่งผลโดยตรงต่อกลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มเบาะรถยนต์ ของบริษัท” นางสาวปิยพร กล่าว

ทั้งนี้ การฟื้นตัวของตลาดท่องเที่ยวและโรงแรม รวมถึงการพยายามเปิดตลาดใหม่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้กลุ่มวัสดุปูพื้น (TCM Flooring) มีรายได้ในไตรมาส 2/65 เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 33.70% มีมูลค่า 492.11  ล้านบาท แม้จะยังไม่สามารถกลับมาเท่ากับช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ก็ตาม เนื่องจากราคาวัตถุดิบและค่าใช้จ่ายในการขนส่งที่สูงขึ้น ทำให้กลุ่มธุรกิจมีต้นทุนเพิ่มในภาพรวม

ในส่วนของกลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ (TCM Living) สามารถทำยอดขายได้ดี จากความต้องการซื้อที่ยังคงสูงอยู่ในหลายตลาด แต่ในส่วนต้นทุนวัตถุดิบยังคงมีราคาสูง ทั้งจากเรื่องอัตราเงินเฟ้อทั่วโลก การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และแรงงานขนส่ง ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามบริษัทได้มีการปรับเพิ่มราคาสินค้าและบริหารจัดการเรื่องต้นทุนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อเตรียมการให้พร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต ส่งผลให้กลุ่มมีรายได้ 1,711.73 สูงขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 41.60%

ด้านกลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มเบาะรถยนต์ (TCM Automotive) ถึงแม้จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ การขาดแคลนชิพประมวลผล ที่สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย รวมถึงในไตรมาสสองเป็นช่วง low season ของธุรกิจ  แต่ยังสามารถทำรายได้สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อน 6.25% โดยมียอดขาย 180.70 ล้านบาท ผลกำไรสุทธิ 10.72 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน จากสัดส่วนรายได้จากสินค้าที่มีต้นทุนสูงมีสัดส่วนสูงกว่าสินค้าอื่นๆ

ทั้งนี้ ในไตรมาส 2/65 กลุ่มบริษัทยังคงมีสภาพคล่องในการชำระหนี้ค่าสินค้าและมีความระมัดระวังในการให้เครดิตกับลูกค้ามากขึ้น มีการรักษาเครดิตที่ได้รับจาก Supplier โดยมีอัตราหมุนเวียนเจ้าหนี้การค้าอยู่ที่ 4.81 เท่า ดีขึ้นกว่าปีก่อนที่ 4.46 เท่า และมีการระบายสินค้าคงคลังเพื่อลดปริมาณการผลิตสินค้าไว้เป็นสต๊อก ทำให้มีอัตราหมุนเวียนสินค้าคงคลังอยู่ที่ 8.10 เท่า สูงกว่าปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 7.12 เท่า อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 2.28 เท่า เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 2.17 เท่า เนื่องจากในปี 65 กลุ่มบริษัทโดยรวมมีการผลิตและจำหน่ายสินค้าได้มากขึ้นจึงทำให้มีเจ้าหนี้การค้าเพิ่มขึ้นจากปีก่อน อัตราตอบแทนผู้ถือหุ้น อัตราตอบแทนจากสินทรัพย์ อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากผลประกอบการโดยรวมของกลุ่มบริษัทดีขึ้น

Back to top button