BEM ปิดบวก 5% โบรกเชียร์ “ซื้อ” ลุ้นกำไรปี 66 นิวไฮ รับผู้โดยสารเพิ่ม อัพเป้า 13.50 บ.

BEM ปิดบวก 5% ราคาแตะ 9.60 บ. โบรกเชียร์ “ซื้อ” จับตากำไรปี 66 นิวไฮ รับจำนวนผู้โดยสารไฟฟ้าเพิ่ม-ชนะประมูลไฟฟ้าสายสีส้ม ฟาก “บล.บัวหลวง” อัพราคาเป้าหมายสูง 13.50 บ.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (16 ก.ย.65) ราคาหุ้น บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ปิดตลาดที่ระดับ 9.60 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 5.49% สูงสุดที่ระดับ 9.65 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 9.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.52 พันล้านบาท

สำหรับนักวิเคราะห์แต่ละบริษัทหลักทรัพย์ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เนื่องจากมีมุมมองเชิงบวกต่อการเปิดประเทศ ที่ทำให้ปริมาณจราจรทางด่วนและจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดโควิด-19 รวมไปถึงศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ที่กลับมาเปิดอีกครั้งก็จะช่วยเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการเช่นกัน และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ประกาศ BEM เป็นผู้ชนะการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม (บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย) ครอบคลุมพื้นที่จราจรหนาแน่น จึงคาดจำนวนผู้โดยสารและกำไรจะแข็งแกร่งหลังเปิดให้บริการ

ส่วนในปี 66 จะเห็นการฟื้นตัวได้ต่อเนื่องจากการเปิดใช้รถไฟฟ้าอีก 2 สาย คือสายสีเหลืองและสายสีชมพู ส่งผลต่อผู้โดยสารชานเมืองเข้าสู่กลางเมือง (สีเขียว-สีน้ำเงิน) และการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่จะกลับมาอีกครั้ง หนุนให้กำไรปี 66 มีโอกาสทำสถิติสูงสุดใหม่

โดย นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”หุ้น BEM เนื่องจากในภาพหลักมีมุมมองเชิงบวกต่อการ Reopening ที่ทำให้การจราจรในเดือนสิงหาคมฟื้นตัวขึ้นมาต่อเนื่อง โดยมีปริมาณการใช้ทางด่วนอยู่ที่ 1.08 ล้านคัน/วัน เพิ่มขึ้น 82% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนและ 4% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา คิดเป็นสัดส่วน 86% เมื่อเทียบกับช่วง Pre-โควิด-19

ขณะที่ปริมาณผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินอยู่ที่ 0.32 ล้านคน/วัน เพิ่ม 413% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และ 17% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา คิดเป็นสัดส่วน 98% เมื่อเทียบกับช่วง Pre-โควิด-19 ก็ถือว่าใกล้เคียงที่จะเข้าสู่ภาวะปกติ

ส่วนแนวโน้มเดือนกันยายนคาดฟื้นตัวต่อเนื่องทั้งเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา โดย BEM รายงานปริมาณใช้ทางด่วน เดือนกันยายนเบื้องต้น (เฉพาะวันทำงาน) อยู่ที่ 1.15 ล้านเที่ยว/วัน เพิ่ม 3% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา และปริมาณผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเบื้องต้นอยู่ที่ 0.39 ล้านคน/วัน เพิ่ม 14% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา พร้อมคาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/65 ฟื้นตัวเด่นที่ 700-800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากฐานต่ำปีก่อนที่ 108 ล้านบาท และไตรมาสก่อนหน้าที่ 634 ล้านบาท

โดย 9 เดือนแรกของปี 65 คาดจะมีกำไรสุทธิที่ 1.7-1.8 พันล้านบาทเติบโตราว 180% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน หนุนให้กำไรสุทธิปี 65 คาดอยู่ที่ 2.3 พันล้านบาท โต 129% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และระยะสั้นมี Sentiment เชิงบวกจากการเป็นผู้ชนะประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม และ การกลับมาเปิดให้บริการศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์หนุนผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินฟื้นแรงขึ้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องหลังสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 คลี่คลาย และปี 66 มี Sentiment บวกจากการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และชมพูช่วยส่งต่อผู้โดยสารจากชานเมืองเข้าสู่ระบบรถไฟฟ้ากลางเมือง (เขียวและน้ำเงิน)

ขณะที่ บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (MRTA) ประกาศ BEM เป็นผู้ชนะการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม โดยของบอุดหนุนน้อยที่สุดเพียง 7.8 หมื่นล้านบาท (กลุ่มบริษัท ITD-Incheon Transit ของบที่ 1.03 แสนล้านบาท) ซึ่งรถไฟฟ้าสายสีส้มจะประกอบด้วยสองส่วน ส่วนทางตะวันออก 17 กม. 17 สถานี จะเริ่มให้บริการในปี 68 โดยจะวิ่งตั้งแต่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยไปจนถึงมีนบุรี และทางฝั่งตะวันตก 13 กม. 11 สถานี จะเริ่มให้บริการในปี 70) จะวิ่งตั้งแต่บางขุนนนท์มาจนถึงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย

โดยครอบคลุมพื้นที่มีการจราจรหนาแน่น จึงคาดจำนวนผู้โดยสารและกำไรจะแข็งแกร่งหลังเปิดให้บริการ จึงปรับประมาณการกำไรระยะยาวขึ้น 5-40% และปรับราคาเป้าหมายขึ้นจาก 10.20 บาทไปเป็น 13.50 บาท และคาดว่านักวิเคราะห์อื่นๆ ก็จะปรับขึ้นเช่นกัน

ส่วนศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ที่กลับมาเปิดหลังจากปิดปรับปรุงมา 3 ปี โดยมีพื้นที่ถึง 3 แสนตร.ม. จากเดิม 6.5 พันตร.ม. ในปี 62 ซึ่งเพียงพอที่จะรองรับผู้คนได้ถึง 1 แสนรายต่อวัน โดยคาดว่าจำนวนผู้เยี่ยมชมศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ใหม่นี้อาจจะสูงถึง 13 ล้านรายต่อปี (เทียบกับ 6 ล้านรายในช่วงก่อนปรับปรุง)

ทั้งนี้อัตราการใช้พื้นที่มีแนวโน้มที่จะแตะระดับ 80% ได้ภายในไตรมาส 4/65 หนุนการเติบโตของจำนวนผู้โดยสาร MRT และเนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานส่วนใหญ่ของธุรกิจขนส่งมวลชนนั้นเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ ดังนั้นรายได้ที่เพิ่มมาส่วนใหญ่จะหมายถึงกำไรที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าคาดกำไรจะทำสถิติสูงสุดใหม่ในปี 66 แต่ราคาหุ้นของ BEM ในปัจจุบันยังคงต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด จึงแนะนำซื้อ

ส่วน บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การกลับมาเปิดศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ในวันที่ 12 ก.ย.65 ที่ผ่านมา จะเป็นอีกปัจจัยหนุนยอดผู้ใช้รถไฟฟ้า โดยในไตรมาส 4/65 มีตารางการจัดงานที่ศูนย์สิริกิติ์ไม่น้อยกว่า 15 งาน ซึ่งมีงานใหญ่คือการประชุมเอเปคในวันที่ 18-19 พ.ย.65 รวมไปถึงเป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวซึ่งจะหนุนการเดินทางทั้งทางด่วนและรถไฟฟ้าเช่นกัน ทำให้ไตรมาส 4/65 มีแนวโน้มดีต่อเนื่อง หนุนกำไรสุทธิทั้งปี 65 คาดฟื้นตัวแรงและต่อเนื่องไปปี 66 โดยคาดกำไรสุทธิในปี 65 อยู่ที่ 2.3 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีกำไร 1 พันล้านบาท

ส่วนในปี 66 จะเห็นการฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง เพราะในปี 65 ยังมีผลกระทบจากโควิด-19 ในช่วงครึ่งปีแรก, การกลับมาเปิดเรียนและทำงานเป็นปกติ, นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น, ปรับขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าอีก 1 บาทคือ สถานีที่ 6, 9, 11 และ 12, การเปิดใช้รถไฟฟ้าอีก 2 สาย คือสายสีเหลืองและสายสีชมพู และการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่กลับมาก่อสร้างทั้งที่พักอาศัยและโครงการขนาดใหญ่ที่จะเปิดในปี 66 ทางฝ่ายวิจัยจะปรับราคาพื้นฐานขึ้นเพื่อสะท้อนการประมูลสายสีส้ม ซึ่งน่ามีความชัดเจนในเรื่องประมาณการและผลตอบแทนที่ให้กับ รฟม. ในช่วงไตรมาส 4/65 ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐานปี 65 ที่ 9.90 บาท

Back to top button